วันพุธที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: รูปภาพสุดแสนประทับใจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ::



















ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยทุกคนตลอดกาลนานเทอญ

วันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

:: Japanese Sea Lion ::

Japanese Sea Lion (Zalophus japonicus) is thought to have become extinct in the 1950s.

Prior to 2003 it was considered to be a subspecies of California Sea Lion as Zalophus californianus japonicus. However, it was subsequently reclassified as a separate species. Some taxonomists still consider it as a subspecies of the California Sea Lion. It has been argued that japonicus, californianus, and wollenbaeki are distinct species because of their distant habitation areas and behavioral differences.

They inhabited the Sea of Japan, especially around the coastal areas of the Japanese Archipelago and the Korean Peninsula. They generally bred on sandy beaches which were open and flat, but sometimes in rocky areas.

Currently, several stuffed specimens can be found in Japan and the National Museum of Natural History, Leiden, the Netherlands brought by Philipp Franz von Siebold.The British Museum possesses a pelt and 4 skull specimens.

วันจันทร์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

:: 10 ปรากฎการณ์ประหลาด จากเหตุ "โลกร้อน!" ::

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัย "โลกร้อน" ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน อาทิ อากาศร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย หรือระดับน้ำทะเลโลกสูงขึ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังเป็นต้นเหตุของปรากฎการณ์แปลกๆ มากมาย ซึ่งเกี่ยวพันกับการหายสาบสูญของทะเลสาบ โรคภูมิแพ้โดยไม่ทราบสาเหตุ วิถีโคจรของดาวเทียมในอวกาศ ฯลฯ!

สารภูมิแพ้แพร่ระบาด
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดปรากฎการณ์ประหลาดขึ้นทุกๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ นั่นคือ ประชาชนไอ จาม ป็นภูมิแพ้ และหอบหืดกันง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปกับสภาพมลพิษในอากาศ เป็นสาเหตุสำคัญของอาการดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นและมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมากขึ้น คือต้นเหตุทำให้พืชพรรณต่างๆ ผลิใบเร็วกว่าเดิม ขณะเดียวกันปริมาณละอองเกสรที่ฟุ้งกระจายไปตามอากาศก็มากขึ้นเช่นกัน คนที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดเมื่อสูดละอองเหล่านี้เข้าไปมากๆ อาการจึงกำเริบง่าย

สัตว์อพยพไร้ที่อยู่
ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน ทำให้สัตว์บางชนิด เช่น กระรอก ตัวชิปมังก์ หรือแม้กระทั่งหนู ต้องอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูงขึ้น
สัตว์ที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ได้แก่ "หมีขั้วโลก" ที่ในอนาคตอาจมีชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิมแถบอาร์กติก ขั้วโลกเหนือไม่ได้ เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว

"พืช" ขั้วโลกคืนชีพ
ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผลจากภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพราะโลกร้อน ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพืชและสัตว์จำนวนมาก ตามปกติ พืชแถบอาร์กติกจะถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งตลอดทั้งปี
แต่ปัจจุบัน เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิต จึงทำให้พืชที่เคยถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งกลายเป็นอิสระ สามารถเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นอีก 1 ปรากฎการณ์ใหม่ของพื้นที่ขั้วโลกเหนือ

ทะเลสาบหายสาบสูญ
เรื่องประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นในเขตอาร์กติก หรือ ขั้วโลกเหนือยังไม่หมดแค่นั้น มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา "ทะเลสาบ" ประมาณ 125 แห่งได้หายสาบสูญไปจากเขตอาร์กติก เป็นสัญญาณหนึ่งที่ช่วยให้เห็นว่า ภัยโลกร้อนส่งผลกระทบเร็วมากต่อสภาพแวดล้อมแถบขั้วโลก
สาเหตุที่ทะเลสาบหายไปก็เพราะ "เพอร์มาฟรอส" ที่เป็นน้ำแข็งแข็งตัวอยู่ใต้พื้นทะเลสาบนั้นละลายหมดสิ้นไป ดังนั้น น้ำในทะเลสาบจึงซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้ เหมือนกับเวลาเราดึงจุกปิดน้ำออกจากอ่างอาบน้ำแล้วน้ำจึงไหลหมดไปจากอ่างนั่นเอง
นอกจากนี้ การที่ทะเลสาบขั้วโลกหายวับไป ยังส่งผลลูกโซ่ปั่นป่วนไปถึงระบบนิเวศในพื้นที่ที่พึ่งพิงน้ำจากทะเลสาบอีกด้วย

น้ำแข็งใต้พื้นโลกละลาย
ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงแค่ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน
ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็น "รูรั่ว" ใต้ดินขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนี้สภาพทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่ย่อมเปลี่ยนไป
สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งก่อสร้างของมนุษย์ เช่น ทางรถไฟ ถนน บ้านเรือน ฯลฯ ซึ่งตั้งอยู่เหนือจุดดังกล่าวมีโอกาสได้รับความเสียหายตามไปด้วย ถ้าปรากฎการณ์น้ำแข็งละลายเกิดขึ้นบนที่สูง เช่น ภูเขา จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติตามมา อาทิ หินถล่มและโคลนถล่ม เป็นต้น

ชนวนเกิดไฟป่า
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันทั่วโลก ว่าภัยโลกร้อนเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งละลายและพายุก่อตัวบ่อยและรุนแรงขึ้นกว่าในอดีต ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด "ไฟป่า" ได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
และชาติเมืองหนาวในซีกโลกตะวันตก ซึ่งตามปกติไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟป่า ก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้กันแล้ว เหตุเพราะสภาพป่าแห้งกว่าเดิม จึงเป็นเชื้อไฟอย่างดี

ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอด
โลกร้อนส่งผลให้หน้าหนาวหดสั้นลง และหน้าร้อนมาถึงเร็วขึ้น บรรดา "นกอพยพ" หลายสายพันธุ์ต่างมึนงง ปรับ "นาฬิกาชีวภาพ" ในตัวของมันให้เข้ากับสภาพความผันแปรของฤดูกาลที่บิดเบี้ยวไปไม่ทัน สัตว์ที่จะเอาชีวิตรอดจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนในทุกวันนี้ได้ต้องเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น
ในที่สุดสัตว์ที่อยู่รอดจะต้อง "กลายพันธุ์" หรือปรับพันธุกรรมในตัวมันเสียใหม่ เพื่อรับมือภัยโลกร้อนให้ได้ และมีสัตว์หลายชนิดกำลังวิวัฒนาการตัวเองเช่นนั้นอยู่

ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าเดิม
การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน ยวดยานพาหนะ ฯลฯ คือ ตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อน
ล่าสุดพบว่า เจ้าก๊าซตัวเดียวกันนี้เองที่ขึ้นไปสะสมมากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก ได้กลายเป็นต้นเหตุทำให้ "ดาวเทียม" ที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม
ตามปกติ อากาศในบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกจะเบาบาง แต่โมเลกุลของอากาศจะยังคงมีแรงดึงดูดมากพอในการทำให้ดาวเทียมโคจรช้าๆ ดังนั้น เราอาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่า ผู้ควบคุมต้องจึดระเบิดดาวเทียมเป็นระยะๆ เพื่อให้ดาวเทียมโคจรต่อไปอย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ลอยไปสะสมในบรรยากาศชั้นล่างมากไป จะทำแรงดึงดูดของบรรยากาศชั้นนอกสุดลดกำลังลง ดาวเทียมจึงโคจรเร็วกว่าปกติ

ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลก
ภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งทั่วโลกกำลังขยายตัว "สูง" ขึ้น เพราะผลจากโลกร้อน! นั่นเป็นเพราะ ตามธรรมชาติที่ผ่านๆ มานับพันปี ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมี "น้ำแข็ง" ปกคลุมอยู่ ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับให้ฐานล่างของภูเขาทรุดต่ำลงไปใต้พื้นผิว
เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขามลายสูญสิ้นไป ส่วนฐานล่างที่เคยถูกกดจมดินลงไปจะค่อยๆ กระเด้งคืนตัวกลับมาเหนือผิวโลกอีกครั้ง

โบราณสถานเสียหาย
โบราณสถาน เมืองเก่าแก่ ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันเป็นสิ่งแสดงถึงวัฒนธรรมอันรุ่งเรื่องของมนุษย์ในอดีตได้รับผลกระทบจากโลกร้อน
เหตุเพราะโลกร้อนทำให้อากาศทั่วโลกแปรปรวน ทั้งเกิดพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และล้วนแต่ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมอยู่แล้ว
โบราณสถานอายุ 600 ปีในจังหวัดสุโขทัยของประเทศไทยเรา ก็เคยเสียหายอย่างหนักเพราะภัยน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากภัยโลกร้อน มาแล้วเช่นกัน

เครดิต : dex-d.com

วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

:: Russian submarine K-152 Nerpa ::

The K-152 Nerpa (Russian: К-152 «Нерпа») is a 8,140-tonne (8,010-long-ton) Project 971 Shchuka-B (NATO: Akula II) type nuclear-powered attack submarine. Construction was started in 1991, but suspended due to lack of funding. K-152 Nerpa was launched in October 2008 and was planned to be leased to the Indian Navy in 2009 as the recommissioned INS Chakra. Nerpa is the Russian word for the baikal seal, and chakra is a Sanskrit word meaning disk, wheel, or energy vortex.

While K-152 Nerpa was undergoing sea trials in the Sea of Japan on 8 November 2008, an accident caused the deaths of some twenty sailors and injury to twenty-one others. A fire suppression system discharged freon gas in the bow of the sub, suffocating civilian specialists and navy crewmembers.

วันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: ภาพอัศจรรย์กลางวันกับกลางคืน ห่างกันนิดเดียว !! ::

ภาพนี้ถ่ายโดยลูกเรือในยานโคลัมเบียในการปฏิบัติการครั้งสุดท้าย
ภาพนี้ถ่ายผ่านดาวเทียมในวันที่ท้องฟ้าปราศจากเมฆหมอก
เป็นภาพของทวีปยุโรปและแอฟริกาในเวลาอาทิตย์อัสดง

กึ่งหนึ่งของภาพเป็นเวลากลางคืน แสงสว่างที่เป็นจุดๆ ที่คุณเห็นนั้นคือแสงไฟในเมือง
ส่วนบนสุดของทวีปแอฟริการ คือ ทะเลทรายซาฮาร่า
เห็นได้ว่าในเขตฮอลแลนด์ ปารีส และะบาร์เซโลน่านั้นต้องเปิดไฟเพื่อ
ให้แสงสว่างยามค่ำคืน ขณะที่ในลอนดอน ลิสบอน และแมนดริด
ยังคงเจิดจ้าด้วยแสงสว่างของเวลากลางวัน

แสงอาทิตย์ยังคงสาดส่องอยู่ในเขตช่องแคบยิบรอลต้า
ขณะเดียวกันทะเลเมดิเตอเรเนียนกลับถูกปกคลุมด้วยความมืดของยามราตรี

คุณจะเห็นหมูเกาะอะโซเรสตรงกลางมหาสมุทรแอตแลนติก
ด้านขวาล่างของอะโซเรส คือ หมู่เกาะมามาเดล่า
ต่ำลงมาทางด้านล่าง คือ หมู่เกาะแคเนอรี่
และต่ำลงมาทางใต้นั้นอยู่ใกล้กลับบริเวณสุดเขตฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา
คือ หมู่เกาะ เคป เวอร์ด เห็นได้ชัดว่าทะเลทรายซาฮาร่าซึ่งกินบริเวณกว้างนั้น
เป็นส่วนที่จะเห็นความแตกต่างของช่วงเวลากลางวันและกลางคืนได้อย่างชัดเจน
ด้านซ้ายบน คือ กรีนแลนด์ที่หนาวเย็น

เครดิต : sanook.com

วันศุกร์ที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: Cathédrale Saint-Just-et-Saint-Pasteur de Narbonne ::

La cathédrale de Narbonne est le monument le plus prestigieux de la ville. C'est une construction d'architecture gothique dont l'origine remonte au IVe siècle. Sa particularité réside dans le fait qu'elle est inachevée.

La cathédrale de Narbonne se situe au cœur de de la ville actuelle, cependant au Moyen Age elle se trouvait en bordure des remparts. Cet emplacement est issu d'une longue « sédimentation » de lieux de culte. Approximativement sur le même emplacement se sont succédé une basilique constantinienne, élevée peu après l'édit de 313 autorisant le culte chrétien. Détruite par un incendie en 441, il fallut 37 jours pour démolir ce que le feu avait épargné. Puis une basilique latine construite en 4 ans par l'évêque Rustique, que le préfet des Gaules, Marcellus, encouragea dans son entreprise. La basilique fut terminée le 29 novembre 445. Primitivement dédiée à saint Genés d'Arles, elle fut consacrée en 782 aux jeunes martyrs espagnols Just et Pasteur. Vestiges : deux colonnes romaines du forum réemployées pour la nef (visible dans le cloître) ; le linteau avec dédicace ; un édicule de marbre blanc (visible au musée lapidaire).

Une cathédrale préromane carolingienne reconstruite en 890 par l'archevêque Théodard, mort le 1er mai 893. Il en subsiste le clocher, en grand partie restauré, visible du cloître. Malgré l'aide apportée par trois papes, cette église tomba en ruine.

La construction de la cathédrale gothique fut un acte politique décidé en 1268 par le pape Clément IV, ancien archevêque de Narbonne. Ce sera, dit-il, une œuvre faite à l'instar des magnifiques cathédrales du royaume de France. La première pierre de l'église actuelle fut posée par l'archevêque Maurin le 13 avril 1272, dans les fondements de l'actuelle chapelle Sacré-Cœur. L'édification de la cathédrale Saint-Just et Saint-Pasteur fut projeté dès 1264 mais ne débuta qu'en 1272, et le chœur fut achevé en 1332.

วันจันทร์ที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

สื่อนอกฮือฮา! ปลาแฝดสยามตัวเป็นๆ ในไทย

เอเจนซี - สำนักข่าวต่างประเทศฮือฮา พบปลาแฝดสยาม ซึ่งมีท้องติดกัน และยังมีชีวิตในประเทศไทย โดยปลาทั้งคู่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ปลานิลแฝดวัย 8 เดือนคู่นี้ มีลำตัวใต้ท้องติดกัน ขณะที่อวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกายแยกอิสระจากกัน และมีพัฒนาการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นระบบการหายใจ และการขับถ่าย

ปลาตัวที่ใหญ่กว่า ทำหน้าที่เสมือนพี่ผู้ปกป้องน้อง ที่ติดอยู่ด้านล่างของลำตัว ซึ่งมีขนาดตัวเล็กกว่า ทั้งยังเป็นผู้คอยหาอาหารด้วย

ทั้งนี้ ปลานิลเป็นปลาน้ำจืด พบได้ในแม่น้ำ คลอง ทะเลสาบ และหนองน้ำในเขตร้อน เจริญเติบโตได้ยาวสุด 2 ฟุต และหนักได้ถึง 9 ปอนด์ ส่วนเจ้าปลาแฝดสยามสองพี่น้องคู่นี้พบในสถานที่เลี้ยงสัตว์น้ำแห่งหนึ่งในกรุงเทพ

Credit : www.manager.co.th

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

Cet article retrace les grandes étapes qui jalonnent l'histoire de la photographie, principalement vue sous son aspect technique.

La photographie pouvant être considérée comme une technique propre à supplanter le dessin ou la peinture pour représenter le monde qui nous entoure, son invention nécessitait, d'une part la réalisation d'un dispositif optique permettant la création de l'image, et d'autre part de fixer cette image sur un support pérenne par un processus chimique irréversible.

Par ailleurs les usages de cette technique a évolué, et sa dimension artistique a notamment été reconnue.

À l'époque de la Renaissance, les peintres italiens commencent à découvrir les lois de la perspective. Pour simplifier le tracé de leurs paysages, ils utilisent deux appareils optiques qui permettent de projeter sur une surface une image d'un paysage ou d'un objet : la chambre claire et la chambre noire (voir l'article Chambre noire).

Cette dernière était déjà connue par Aristote (384-322 av. J.-C.), par le savant arabe Ibn Al-Haytham (965-1038) et par Léonard de Vinci (1452-1519) ; on peut la considérer comme l'ancêtre des appareils photographiques. Elle est constituée par une boîte fermée, étanche à la lumière, dont une des faces est percée d'un tout petit trou, le sténopé. L'image inversée d'un objet éclairé placé à l'extérieur devant le trou se forme sur la paroi opposée.

Elle fut employée par de nombreux artistes, dont Giambattista della Porta, Vermeer, Guardi et Giovanni Antonio Canal, dit Canaletto, qui l'utilisa notamment pour mettre en perspective ses célèbres paysages des canaux de Venise.

วันอาทิตย์ที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

:: แพนด้ายักษ์ยุคดึกดำบรรพ์ในจีน ::

ไจแอ้นท์แพนด้า แพนด้ายักษ์ หรือที่ชาวจีนเรียก ต้าสงเมา มีกำเนิดมาบนโลกมนุษย์ เมื่อราว 8-9 ล้านปีก่อน ในช่วงปลายสมัยอีปอชไมโอซีน (เริ่มต้นเมื่อ 25 ล้านปีก่อน กินเวลาประมาณ 12 ล้านปี) ตามที่มีการพบหลักฐาน เป็นซากฟอสซิลแพนด้าดึกดำบรรพ์ บรรพบุรุษของแพนด้ายักษ์ ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ailuaractos Lufengensis บริเวณรอบๆป่าเขตร้อนชื้น ในมณฑลหยุนหนันทางภาคใต้ของจีน

แพนด้าดึกดำบรรพ์ในจีน ได้วิวัฒนาการมาเป็นแพนด้า ที่มีขนาดเล็กกว่าในปัจจุบันครึ่งหนึ่ง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ailuropoda micrta ตัวเท่าสุนัขอ้วนๆ มีชีวิตอยู่เมื่อ 3 ล้านปีก่อน

จากหลักฐานการพบซากฟอสซิลของแพนด้าชนิดนี้ในเขตปกครองตนเองชนชาติจ้วง กว่างซี(กวางสี) มณฑลกว่างตง(กวางตุ้ง) ซื่อชวน(เสฉวน) ส่านซี และหยุนหนัน แพนด้ายักษ์พันธุ์เล็กมีชีวิตอยู่มาได้ 2 ล้านปี ก็เริ่มขยายถิ่นที่อยู่เข้ามาในแถบป่าร้อนชื้น และค่อยๆปรับตัวเข้ากับชีวิตในป่าไผ่เขตร้อนแถบเอเชีย และวิวัฒนาการมาเป็นแพนด้าที่ตัวใหญ่ขึ้น

ในประเทศจีนยังมีการพบซากฟอสซิลแพนด้ายักษ์ชนิด Ailuropoda milanoleuca wulishansis มีขนาดตัวเป็น 1 ใน 8 ของแพนด้าในปัจจุบันเท่านั้น และชนิด Ailuropoda milanoleuea daconi ซึ่งเป็นแพนด้ายักษ์ที่มีชีวิตอยู่ในราว 500,000-700,000 ปีก่อน ซึ่งในยุคนี้นับเป็นยุคเฟื่องฟูที่สุดของแพนด้า เพราะพบกระจายอยู่ตามถิ่นต่างๆทางตะวันตก ตะวันออก จีนตอนกลาง ใต้ และเหนือ ใน 16 มณฑลของจีน จากเหนือสุดที่พบในตำบลโจวโข่วเตี้ยนในปักกิ่ง จนถึงใต้สุดในเกาะไต้หวัน บางส่วนในพม่า เวียดนาม และทางตอนเหนือของไทยด้วย

จะเห็นว่าแพนด้ายุคดึกดำบรรพ์เขาอยู่กันกระจัดกระจายสบายใจ มีชีวิตอย่างผาสุกร่วมยุคกับมนุษย์วานรปักกิ่ง เสือฟันดาบ และช้างแมมมอธ นั่นเลย

วันอังคารที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: Angela Aki - Your Love Song ::


Your Love Song
Lyrics & Music: Angela Aki


Open your eyes, wake up my love
This is the calm I am speaking of
Empty and cold I am torn apart
You enter the beats back in my heart

I have arrived much too soon
I’m waiting for you to enter my room

This could be your love song
This could be your love song

I lie awake,this moonless night
Knowing our timing isn’t right
Shadows of dreams cast from my soul
Without your light I’ll never be whole

I have arrived much too soon
I’m waiting for you to enter my room

This could be your love song
This could be your love song



Credit : cherryblossom-garden.com

วันเสาร์ที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: เพื่อโอลิมปิค 2008 ::

สิ่งก่อสร้างที่จีนสร้างเพื่อโอลิมปิก 2008


รูปที่ 1. สนามบินนานาชาติปักกิ่ง
สนามบินโฉมใหม่ที่มีขนาดกว่า 1 ล้านตารางเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเพนตากอนของสหรัฐอเมริกานี้ เป็นฝีมือของผู้ออกแบบสนามบินเช็กแลพก๊อกของฮ่องกงด้วย นั่นคือ Foster & Partners สถาปนิกนักเดินทาง ที่เข้าถึงจิตใจผู้โดยสาร ด้วยการออกแบบทางเดินแต่ละส่วนให้สั้นที่สุดฟอสเตอร์ ได้แบ่งอาคารที่กว้างขว้างใหญ่โตของสนามบินนานาชาติปักกิ่งออกเป็น 2 ข้าง ทอดตัวจากทิศใต้ไปสู่ทิศตะวันออก เพื่อช่วยลดไอร้อนจากแสงอาทิตย์ แต่ติดสกายไลท์ให้แสงแดดละมุนละไมได้ฉายส่องเข้ามา พร้อมทั้งใช้นวัตกรรมใหม่ที่ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนภายในตัวอาคาร กำหนดสร้างเสร็จปี 2007 นอกจากนี้ จีนยังมีแผนที่จะสร้างสนามบินใหม่ถึง 108 แห่งระหว่างปี 2004-2009 ซึ่งรวมทั้งสนามบินนานาชาติปักกิ่งแห่งนี้ ที่จะเปิดให้บริการปลายปี 2007 เพื่อต้อนรับโอลิมปิก 2008 โดยจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 43 ล้านคนในปีแรก และเพิ่มเป็น 55 ล้านคนในปี 2015



รูปที่ 2. เดอะคอมมูน – กรุงปักกิ่ง

เดอะคอมมูน (The Commune) เกิดขึ้นตามความตั้งใจของคู่รักนักพัฒนาเรียลเอสเตท จางซิน และพานซื่ออี๋ ที่ลงทุนควักกระเป๋าให้นักสถาปัตย์ชั้นนำชาวเอเชีย 12 คน คนละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเนรมิตเฮาส์คอมเพล็กซ์หรูที่มีกลิ่นอายกำแพงเมืองจีนขึ้น ปัจจุบัน เดอะคอมมูน เปิดให้บริการแล้วในส่วนที่เป็นโฮเทลบูติค ภายใต้การบริหารของเครือโรงแรมเคมปินสกี้ จากเยอรมนี ซึ่งยังมีโครงการส่วนต่อขยายเพิ่มเติมอีก เฟสแรกสร้างเสร็จเมื่อ 2002 และทั้งโครงการจะเสร็จสิ้นในปี 2010


รูปที่ 3. ศูนย์กลางการเงินของโลกที่เซี่ยงไฮ้

ศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่ของโลก กำลังจะอุบัติขึ้นที่มหานครเซี่ยงไฮ้ ที่เขตการเงินหลู่เจียจุ้ย ในเขตผู่ตง ในรูปโฉมของตึกกระจกสูงเสียดฟ้า 101 ชั้น Kohn Pedersen Fox Architects ผู้ออกแบบเล่าว่า การสร้างให้ตึกต้านทานแรงลมได้ ถือเป็นความท้าทายของงานนี้ ในที่สุด จึงได้ออกแบบให้ยอดตึกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พร้อมเจาะช่องตรงชั้นที่ 100 ซึ่งนอกจากจะปรับเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในโลกแล้ว ยังสามารถบรรเทาแรงลม ลดการแกว่งตัวไปมาของตัวตึกได้ด้วย กำหนดสร้างเสร็จปี 2008



รูปที่ 4. สระว่ายน้ำแห่งชาตินครปักกิ่ง

สระว่ายน้ำแห่งชาตินี้ สร้างขึ้นสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 โดยมีรูปลักษณ์เหนือจินตนาการคล้าย "ก้อนน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่" ซึ่ง PTW and Ove Arup ออกแบบโดยใช้วัสดุเทฟลอนทำเป็นโครงร่าง เน้นใช้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยจะนำมาใช้เดินเครื่องกรองน้ำเสียของสระน้ำที่ใช้เติมในสระจะถูกกักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ฝั่งไว้ใต้ดิน นอกจากนั้น เพื่อให้ดูเหมือนน้ำที่สุด สถาปนิกยังใช้เทคโนโลยีจากงานวิจัยของนักฟิสิกส์จาก Dublin's Trinity College ที่สามารถทำให้กำแพงอาคารดูเหมือนฟองน้ำที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนอกจากจะทำสระว่ายน้ำแห่งแดนมังกรนี้ดูดีเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังสามารถต้านทานกับแรงสั่นสะเทือนอันเกิดจากแผ่นดินไหวได้ด้วย กำหนดเสร็จปี 2008



รูปที่ 5. สถานีโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งชาติ (CCTV) – นครปักกิ่ง

อาคารสำนักงานใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี มีรูปลักษณ์ที่แหวกแนวไปจากตึกระฟ้าทั่วไป โดยเกิดจากสองอาคารที่ตั้งมุมฉากต่อเข้าหากัน มองดูเหมือนอุโมงค์ขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยกระจายแรงลมที่ปะทะกับตึกได้เป็นอย่างดี ตึกใหม่นี้ออกแบบโดย Rem Koolhass และ Ole Scheeren ส่วนวิศวกรผู้คุมงานก่อสร้างคือ Ove Arup กำหนดสร้างเสร็จปี 2008


รูปที่ 6. Linked Hybid – นครปักกิ่ง

สถาปัตยกรรมแห่งที่อยู่อาศัยสมัยใหม่ Linked Hybid เป็นที่ตั้งของบ้าน 2,500 หลัง อพาร์ทเม้นท์ 700 ห้อง บนเนื้อที่ขนาด 1.6 ล้านตารางฟุต ถือเป็นตึกใหญ่สุดในโลกที่มีใช้ระบบชีวภาพในการทำความเย็นและให้ความอุ่น เพื่อรักษาอากาศทั้ง 8 ตึกให้คงที่ ในชั้นที่ 20 สร้างเป็นวงแหวน 'บริการ' ที่เชื่อมต่อกันทุกตึก ครบครันด้วยบริการต่างๆ ทั้งซักผ้ายันร้านกาแฟ Steven Holl และ Li Hu ยังออกแบบให้ ฝั่งท่อน้ำสองสายลึกลงไปใต้ดิน 100 เมตร สำหรับให้น้ำไหลเวียน ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องกระจายความร้อน และเครื่องทำความเย็นขนาดใหญ่ ที่ไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าทำน้ำเดือดหรือแอร์ทำความเย็น ขณะเดียวกัน ยังมีระบบบำบัดน้ำเสีย ที่จะรวบรวมน้ำจากห้องครัวและอ่างน้ำทั่วอาคาร มาหมุนเวียนใช้ใหม่ในห้องส้วมกำหนดสร้างเสร็จปี 2008


รูปที่ 7. เมืองเศรษฐกิจตงถัน – เจียงซู

เมืองเศรษฐกิจแห่งใหม่ของแดนมังกรอยู่ระหว่างวางแผน คาดว่าเฟสแรกจะเสร็จปี 2010
ออกแบบและพัฒนาโดย ซ่างไห่ อินตัสเทรียล คอร์ป ที่คาดว่าจะมีขนาดเทียบเท่ากับเกาแมนฮัตตัน ตั้งอยู่บนเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีน กลางลำน้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ใกล้กับมหานครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2040 อย่างไรก็ตาม เฟสแรกของโครงการนี้ จะเรียบร้อยก่อนที่งานเอ็กซ์โปเซี่ยงไฮ้จะเปิดฉากขึ้นในปี 2010 ซึ่งจะมีประชากรราว 50,000 คน เข้าอยู่อาศัยที่นี้ จากนั้นอีก 5 ปี ระบบพิเศษต่างๆ จะเริ่มใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์ ระบบจัดการน้ำเสีย และการหมุนเวียนพลังงานมาใช้ใหม่ พร้อมด้วยถนนสายใหญ่ที่จะเชื่อตรงสู่นครเซี่ยงไฮ้อย่างสะดวกสบาย


รูปที่ 8. สนามกีฬาโอลิมปิก - นครปักกิ่ง

สนามกีฬาหลายแห่งในโลก ออกแบบโดยเดินตามรอยสนามกีฬาชื่อดังของโลก โคลิเซี่ยมแห่งโรม แต่สนามกีฬานานาชาติของ Herzog & de Meuron ในปักกิ่งนี้พยายามที่จะคิดออกแบบใหม่ให้เอื้ออำนวยต่อสิ่งแวดล้อมปัจจุบันมากขึ้น สถาปนิกจากสวิสเซอร์แลนด์ Herzog & de Meuron ต้องการที่จะช่องระบายอากาศตามธรรมชาติ ในสนามกีฬาโครงสร้าง 91,000 ที่นั่ง อาจถือได้ว่า เป็นสนามกีฬาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้ สนามกีฬาดังกล่าวซึ่งมีกำหนดเสร็จปี 2008 จะเป็นที่ซึ่งใช้จัดพิธีเปิด-ปิดการแข่งขันโอลิมปิก 2008 มีลักษณะภายนอกคล้ายกับ "รังนก" ที่มีโครงตาข่ายเหล็กสีเทาๆเหมือนกิ่งไม้ ห่อหุ้มเพดานและผนังอาคารที่ทำด้วยวัสดุโปร่งใส อัฒจันทร์มีลักษณะรูปทรงชามสีแดง ซึ่งดูคล้ายกับพระราชวังต้องห้ามของจีน ภาพโครงสร้างของสนามกีฬาแห่งนี้ จึงดูคล้ายพระราชวังสีแดง ที่อยู่ภายในรั้วกำแพงสีเทาเขียว ซึ่งให้กลิ่นอายงดงามแบบตะวันออก สำหรับบันไดภายในสนามกีฬาถูกสร้างให้กลมกลืนกับโครงตาข่าย ซึ่งให้ภาพลักษณ์ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือเอกภาพ


รูปที่ 9. สะพานตงไห่ – เชื่อมเซี่ยงไฮ้ กับ เกาะหยังซัน

สะพานข้ามทะเลแห่งแรกของจีน ซึ่งเปิดใช้อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2005 สะพานดังกล่าวเป็นเส้นทางคมนาคมหลักในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง ใช้เงินลงทุนราว 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนโครงสร้างหลักมีความยาว 32.5 กิโลเมตร กว้าง 31.5 เมตร มีทางรถวิ่ง 6 เลน และเพื่อความปลอดภัยในการรับมือกับพายุไต้ฝุ่นและคลื่นลมแรง สะพานตงไห่ถูกออกแบบให้เป็นรูปตัวเอส (S) เชื่อมจากอ่าวหลู่หูในเขตหนันฮุ่ยเมืองเซี่ยงไฮ้ ข้ามอ่าวหังโจว ไปยังเกาะเสี่ยวหยังซันในมณฑลเจ้อเจียง ที่ได้วางแผนไว้ให้เป็นท่าเรือการค้าเสรีแห่งแรกของจีน (และจะเป็นท่าคอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก) ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2010



รูปที่ 10. โรงละครแห่งชาตินครปักกิ่ง


ตั้งอยู่กลางนครปักกิ่ง ใกล้กับจัตุรัสเทียนอันเหมิน มีเนื้อที่ 490,485 ตารางฟุต มีกำหนดเปิดใช้อย่างเป็นทางการในปี 2008 โครงสร้างภายนอกประกอบขึ้นจากกระจกผสมไทเทเนี่ยม ดูคล้ายกับทะเลสาบ

วันอังคารที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: 12 สิงหาคม 2551 ::

อย่ารักแม่ ตามกระแส แค่สิงหา
ปีละครั้ง ค่อยบอกว่า รักแค่ไหน
เพียงคำพูด ยังน้อยนิด หากคิดไป
อย่าทำให้ เพราะนึกได้ ในสักวัน

ตั้งแต่เล็ก จนเติบใหญ่ ใครเล่าเลี้ยง
ตลอดมา ไม่เคยเลี่ยง ไม่ผ่อนผัน
ไม่เคยรอ เทศกาล วันสำคัญ
รักที่ให้ ไม่มีคั่น เสี้ยวเวลา

ถ้าหากพอ กรองสำนึก ตรึกตรองได้
ทุกทุกวัน ยิ่งใหญ่ได้ *ใช่สิงหา
ชีวิตหนึ่ง กำเนิด ได้เกิดมา
ก็ควรค่า ทดแทนผู้ มอบชีวิน

(คำอธิบาย***ใช่สิงหา แปลว่า ไม่ใช่แค่สิงหา)
อย่า "รักแม่"แค่คำพูด อย่าลืมผระพฤติตนให้ "รักแม่"ด้วยนะ ^^

วันศุกร์ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: Tamise ::

La Tamise (en anglais River Thames) est un fleuve traversant l'Angleterre méridionale et reliant Londres à la mer.

La Tamise a une longueur de 346 kilomètres. C'est le principal fleuve du Royaume-Uni, mais la Severn en est le plus long, avec 354 km.

Prenant naissance au pied des collines de Cotswold, à Thames Head, dans la paroisse de Coates, au sud de Cirencester, elle serpente vers la mer du Nord en suivant essentiellement un axe ouest-est. Elle traverse alors Oxford, Wallingford, Reading, Sonning, Henley-on-Thames, Marlow, Maidenhead, Eton, Windsor, Hampton, Kingston, Richmond upon Thames avant d'entrer dans Londres. Malgré sa largeur, de nombreux ponts la traversent dans la capitale : Chelsea, Vauxhall, Westminster, Waterloo, London Bridge, Tower Bridge... Elle poursuit alors par Greenwich et Dartford avant d'entrer dans la mer par un estuaire noyé.

La Tamise possède assez peu d'affluents notables. Le principal est le Kennet qui lui parvient rive gauche à Reading. Par la suite, elle reçoit à gauche la Colne et la Lea, à droite la Wey, la Mole et la Darent.

À environ 90 kilomètres de la mer, en amont de Londres, le fleuve commence à montrer des signes d'activité de marée. À Londres, l'eau est légèrement saumâtre à cause du sel de mer. Le fleuve, autorisant le passage de grands navires, a contribué à la tradition maritime de l'Angleterre. Un réseau de canaux le fait communiquer avec la Severn, le canal de Bristol et la Trent.

วันพุธที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: 2008 Ahmedabad bombings ::


The 2008 Ahmedabad bombings were a series of seventeen bomb blasts that hit Ahmedabad, India, on July 26, 2008, within a span of seventy minutes. Forty-nine people were killed and over one hundred and sixty were injured. Ahmedabad is the cultural and commercial heart of Gujarat state, and a large part of western India. The blasts were considered to be of low intensity, and were similar to the Bengaluru blasts which occurred the day before.

Several TV channels said they had received an e-mail from a terror outfit called Indian Mujahideen claiming responsibility for the terror attacks; however, Islamic militant group Harkat-ul-Jihad-al-Islami has claimed to be responsible for the attacks.In 2002, Gujarat suffered from communal riots.
These bombings occurred a day after the Bengaluru blasts and a day before a bomb blast in the Indian state of Jharkhand .

วันศุกร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: ข้อเท็จจริงของชื่อ "ประเทศไทย" หรือ "ประเทศสยาม" ::

คนไทยนั้นไม่เคยเรียกตนเองว่า "สยาม" เลย นอกจากจะเรียกว่า "ไทย" แต่ชาวต่างชาตินิยมเรียกประเทศไทยว่า สยาม (Siam) และเรียกคนไทยว่า "ไซมีส" (Siamese) สำหรับลำดับการเรียกชื่อประเทศในสังคมไทยนั้น พอจะสรุปได้ ดังต่อไปนี้ คือ

๑. เดิมทีคนไทยเรียกชื่อประเทศโดยใช้ชื่อเมืองหลวงเป็นชื่อประเทศ เช่น กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา จนถึง กรุงรัตนโกสินทร์

๒. ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศ ได้เรียกชื่อประเทศว่า กรุงศรีอยุธยา

๓. ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแยกชื่อเมืองหลวงออกจากชื่อประเทศ ตามแบบตะวันตก คือ เรียกประเทศว่า "สยาม" โดยได้ทรงลงพระปรมาภิไธยว่า Rex Siamensis

๔. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ใช้ชื่อว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม และมาตรา ๑ ระบุว่า "ประเทศสยามเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้"

๕. พ.ศ. ๒๔๐๘-๒๔๘๑ ในสัญญาทางพระราชไมตรีการพาณิชย์ การเดินเรือกับต่างประเทศใช้คำว่า "ประเทศสยาม" "ราชอาณาจักรสยาม" "รัฐบาลสยาม" แต่เมื่อกล่าวถึงภาษาใช้คำว่า "ภาษาไทย" และมีบางแห่งใช้ไทยและสยามปน ๆ กันไป

๖. พ.ศ. ๒๔๘๒ ในสมัยจอมพลหลวงพิบูลสงคราม มีการประกาศใช้ประกาศรัฐนิยม ฉบับที่ ๑ ให้ใช้ชื่อ ประเทศ ประชาชน และสัญชาติว่า "ไทย"

๗. รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนามของประเทศปีพุทธศักราช ๒๔๘๒ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ ว่า ให้เรียกชื่อประเทศว่า "ประเทศไทย" และบทรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายอื่นที่ใช้คำว่า "สยาม" ให้ใช้คำว่า "ไทย" แทน จึงเท่ากับเป็นการฆ่าคำว่า "สยาม" ให้ตายไปโดยสิ้นเชิง นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจะต้องเรียกคนไทยว่า "ไทย" (Thai) และเรียกชื่อประเทศว่า ประเทศไทย (Thailand) ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น

๘. ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง รัฐบาลของนายทวี บุณยเกตุ ประกาศใช้ชื่อประเทศไทยใน ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสว่า "Siam" ชื่อประเทศไทยและภาษาไทยว่า "ประเทศไทย" ส่วนสัญชาติ ผู้ถือหนังสือเดินทางเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า "Siamois" ในขณะเดียวกันนั้น ประเทศอังกฤษได้ขอตั้งเงื่อนไขขอเรียกชื่อประเทศไทยว่า "ประเทศสยาม" ซึ่งรัฐบาลไทยก็มิได้ขัดข้องประการใด จึงดูเหมือนว่าชาวต่างประเทศจะเรียก สยาม ก็ได้ ไทย ก็ได้

๙. เมื่อเกิดรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี คงเรียกประเทศว่า "ประเทศไทย" ส่วนการเรียกในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสให้เรียก "Siam"

๑๐. เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ เมื่อจอมพลหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายควง อภัยวงศ์ รัฐบาลกลับเปลี่ยนชื่อประเทศไทยในภาษาอังกฤษว่า "Thailand" และฝรั่งเศสว่า "Thailande" ซึ่งคงใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้

๑๑. รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้เขียนลงไว้ว่า "ประเทศไทย"

๑๒. พ.ศ. ๒๕๑๑ สภาร่างรัฐธรรมนูญมีการอภิปรายเปลี่ยนชื่อจาก "ไทย" เป็น "สยาม" แต่สมาชิกส่วนมากไม่ยอมรับ

๑๓. พ.ศ. ๒๕๑๗ สภาร่างรัฐธรรมนูญได้อภิปรายในเรื่องเดียวกัน

Credit ::เว็บไซต์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

วันพุธที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: "โรควุ้นในลูกตาเสื่อม" สำคัญมากสำหรับคนเล่นคอม ::

คนที่เล่นคอมพิวเตอร์เกือบทุกคนเป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม'
ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม' ถึง 14 ล้านคนแล้วจากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์

คนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองก้อเป็นมากขนาดไหน?
อาการก็คือ คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนยักใย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา
ถ้าอาการมากกว่านั้นก็คือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ)
และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด(ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่?)
สาเหตุของโรคนี้คือ การใช้สายตามากเกินไป(เล่นคอม) แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้สายตามากๆ เช่น ช่างเจียรไนเพชรพลอยที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม

ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก?
ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต,เล่นเกมส์, อ่านไดอารี่,อ่านบทความ! ,อ่านหนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้นเพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ 'ระยะห่างระหว่างลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอนเพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอน กล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่
แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณ์เป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส(เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป และจอ LCD เราก้อต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกระดาษ)การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับ ลักษณะการอ่านหน้าหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลงเพื่อจะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก้อ ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ

แต่ การเลื่อนบรรทัดนี้ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษที่แขนกับคอ จะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอนสัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู)

มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะลูกตา จะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางที คุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้มพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จคุณจะปวดตามากๆๆ อย่างเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืนสองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดโปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีสว่าง(ที่นิยมก้อคือตัวหนังสือดำ พื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างขาวจ้า นี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสงถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไปหรือไม่ก้อ ในคนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อยๆมักจะมีการปรับแสงสว่างให้จ้าที่สุด เพราะเวลาเล่นเกมส์ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ

สรุปก็คือ

1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก 'ทำให้สายตาเสีย'
2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เอง ที่ทำให้สายตาเสีย
3.การก้มๆเงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา 'ทำให้สายตาเสีย '
4.การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว 'ทำให้สายตาเสีย'(ข้อนี้ คล้ายๆ กับ การเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำแล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน)
5.การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน !!(จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ !!)
เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว)แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่ อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา)

เครดิต : dek-d.com ;P

วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: Violon ::


Le violon est un instrument de musique à cordes frottées. Un violon est constitué de 71 éléments en bois (épicéa, érable, buis, ébène, etc.) collés ou assemblés les uns aux autres. Il possède quatre cordes accordées à la quinte, que l'on peut frotter avec un archet ou pincer en pizzicato. La famille du violon inclut également l'alto, le violoncelle et la contrebasse ; le violon est le plus petit de ces instruments et celui offrant la tessiture la plus aiguë.


Un violon se compose de 3 parties principales : les cordes, la caisse de résonance et le manche. Sa longueur est variable. Un violon de taille maximale est appelé un entier, et est destiné aux violonistes ayant atteint leur taille adulte ; il mesure généralement 59 cm de long, du bouton à l'extrémité de la tête. Il existe une échelle non proportionnelle de longueur des violons : les sept-huitièmes ; les trois-quarts, qui font 56 cm ; les demis, 53 cm ; viennent ensuite les quarts (48 cm), les huitièmes (44 cm), et les seizièmes (37 cm),[réf. nécessaire] ces derniers étant destinés aux violonistes très jeunes (en général, 3 ans).


วันเสาร์ที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

Independence Day (United States)


In the United States, Independence Day, commonly known as the Fourth of July, is a federal holiday commemorating the adoption of the Declaration of Independence on July 4, 1776, declaring independence from the Kingdom of Great Britain. Independence Day is commonly associated with fireworks, parades, barbecues, carnivals, picnics, concerts, baseball games, political speeches and ceremonies, and various other public and private events celebrating the history, government, and traditions of the United States.

During the American Revolution, the legal separation from Great Britain occured on July 2, 1776, when the Second Continental Congress voted to approve a resolution of independence that had been proposed in June by Richard Henry Lee of Virginia.After voting for independence, Congress turned its attention to the Declaration of Independence, a statement explaining this decision, which had been prepared by a committee with Thomas Jefferson as its principal author. Congress debated and revised the Declaration, finally approving it on July 4. A day earlier, John Adams had written to his wife Abigail

Adams's prediction was off by two days. From the outset, Americans celebrated independence on July 4, the date shown on the much-publicized Declaration of Independence, rather than on July 2, the date the resolution of independence was approved in a closed session of Congress.

One of the most enduring myths about Independence Day is that Congress signed the Declaration of Independence on July 4, 1776.The myth had become so firmly established that, decades after the event and nearing the end of their lives, even the elderly Thomas Jefferson and John Adams had come to believe that they and the other delegates had signed the Declaration on the fourth.Most delegates actually signed the Declaration on August 2, 1776.

วันอาทิตย์ที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

:: ของสะสม บอกนิสัย ::

สะสมตุ๊กตา
คนพวกนี้เป็นคนมีจิตใจเมตตา มองโลกในแง่ดีเอามาก ๆ รักคนเค้าไปทั่ว เกลียดใครไม่เป็น ก็เพราะความรักมันแสนจะท่วมท้น อยู่ในหัวใจของเค้านี่นา ฉะนั้นอย่าไปทำท่าหมั่นไส้เขาเลย หากเขาเป็นดั่งคนที่ไม่เคย รู้จักความทุกข์นะ

สะสมของกระจุกกระจิก
คนพวกนี้มักจะเป็นคนที่มีท่าทางอ่อนแอและมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ทั้งที่ลึกๆในจิตใจแล้วจะเป็นคนที่มีความแน่วแน่ในการทำสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองต้องการอย่างที่ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจได้เขาเป็นคนที่เอาจริงเอาจังแล้วก็ยังชอบเป็นกำลังใจ

สะสมรูปถ่าย โปสการ์ด จดหมาย
คนพวกนี้นะเป็นคนขี้เหงาชอบคิดถึงวันเก่า ๆ ที่งดงามหรือถ้าจากบ้านเกิดไปอยู่ที่ไหนเขาก็จะเอาแต่คิดถึงบ้านคิดถึงพี่น้องพ่อแม่เพื่อนเก่าๆเป็นคนที่ไม่ทอดทิ้งเพื่อนเก่าพี่น้องเพราะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับเขามากนิสัยอื่นๆคือจะอ่อนโยน ชอบจดจำสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลวก็ตามเพราะมันคือประสบการณ์อันยอดเยี่ยมสำหรับคนอย่างเขา

สะสมเสื้อผ้า
คนพวกนี้ เป็นคนมีลักษณะร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอเป็นพวกไม่รู้จักความทุกข์ร้อนใด ๆ เลยก็ได้ คือ ออกจะรักสนุกมาก จนบางทีการงานก็ไม่ค่อยอยากทำ นอกจากเดินลอยชายไปเรื่อย ๆ ในสถานที่ ๆ มีผู้คนเยอะ ๆ เช่น ตามศูนย์การค้าต่าง ๆ คือ เป็นพวกที่ชอบงานสังคม เขาเป็นคนที่ชอบคิดว่าตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ตัวเองคิดยังไงก็คิดว่าคนอื่นเขาก็คิดเช่นนั้นด้วย บางทีจึงดูเหมือน คนที่ชอบเอาแต่ใจตนเองเป็นหลัก จนเหมือนไม่ค่อยจะถนอมน้ำใจคนอื่นเขาบ้างเลย ข้อดีก็คือเป็นคนที่ชอบเอาอกเอาใจคนซึ่งก็คล้ายจะทำไปเพื่อให้คนเขาสนในตนเองอีกนั่นแหละ

สะสมหนังสือ นิตยสาร
คนพวกนี้มีความกระตือรือร้นดีมาก ๆ เลยแล้วก็เป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น มีความเป็นส่วนตัวสูงชอบที่จะอ่านหนังสือหรือไม่ก็เปิดเพลงเพราะ ๆฟังอยู่คนเดียวหรืออาจจะอยู่กับใครสักคนที่รู้ใจ พวกนี้จะมีวาทะดีเยี่ยมยอดมากใครได้ฟังรับรองเคลิ้มตามแน่ๆและหากเจอใครที่ถูกอกถูกใจล่ะก็ คนที่ปกติจะเป็นคนเงียบ ๆ ขรึม ๆ ก็จะคุยจ้อขึ้นมาเลยทีเดียว แบบไม่น่าเชื่อ

สะสมแสตมป์ หรือเหรียญต่าง ๆ
คนพวกนี้เป็นพวกที่มีนิสัยกล้าได้กล้าเสียเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน เป็นอย่างมาก อยากได้อะไร ก็จะต้องพยายามขวนขวายเอามาเป็นของตนให้ได้ นั่นเพราะความเป็นคนเอาจริงเอาจัง ชอบทำงานนิสัยอื่น ๆ ก็มีคือจะเป็นพวกอนุรักษ์นิยม จะไม่ยอมทำตามการใด ๆ ที่มันผิดแบบผิดแผนเลยเป็นอันขาดในชีวิตนี้

สะสมเปลือกหอย หิน หรือของจากธรรมชาติ
เป็นคนที่กล้าหาญและมีความอดทนจะมีความสุขมากกับการได้ตะลอนไปนั่นมานี่เพราะเขามีความคิดอยู่ในสมองว่า โลกใบนี้คือโรงเรียนที่เขาสามารถเรียนรู้ทุกๆอย่างได้ไงล่ะ จึงเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมากเพราะประสบการณ์คือสิ่งที่เขาแสวงหา ถ้าได้รู้จักคนที่ไม่ชอบอยู่เป็นที่เป็นทางนักไม่ต้องแปลกใจนะถ้าเขาเอาของที่เขาสะสมมาอวดแล้วเป็นของจากธรรมชาติ

วันพุธที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond)
เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระนลาฏ (หน้าผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 160
โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป! และก็จริงตามคําสาป นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้ จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และพระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ ล้วนประสบกับอัปมงคล จนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน ในที่สุดทายาทตระกูลวินสตันจึงมอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทน

อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวราโปรตุเกส วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15
โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คนครับ เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย! ตํานานวัดระบุว่าครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของ เธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาป ให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิ ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง

อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์
ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไป-หากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่นบท แม็คเบ็ธ ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดงโดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา

อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์, สกอตแลนด์ ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่นในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่า เ ขาขมังในเรื่องเวทมนตร์และเลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้ เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว ก่อนตาย ครอว์ลีย์ ได้สาปทิ้งท้ายไว้กับยอด เขาแห่งหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่า “ปล่องไฟปีศาจ” และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่าเมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วยปล่องไฟปีศาจ” ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยครับ ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว!

อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์ สหรัฐฯ
แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการ จัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์ ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ(ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร) ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้


อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน อียิปต์
เรื่องนี้เราคงเคยได้ฟังกันมาแล้ว จึงขอผ่านนะคะ สรุปสั้นๆแค่ว่า ทั้ง โฮวาร์ด คาร์เตอร์, ลอร์ด คาร์นาวอน และผู้มีส่วนรบกวนสุสานของฟาโรห์องค์ นี้ ล้วนมีอันล้มหายตายจากก่อนวัย อันควรทั้งนั้น

อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาท ลอนดอน (Tower of London)
ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูกใช้เป็นที่คุมขังและ ประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ! เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ด้วยนะคะ ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็นเรื่องจริงจังอย่างเคร่งครัด เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน

อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ ใน ค.ศ. 1979
มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่ แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับวิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น นอกจากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรสกว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมัน

อันดับ 2 คําสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่ มรณกรรมในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน เขาได้สาปไว้ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813 ปธน.คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840 ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น
• ลิน-คอล์น (1860)
• การ์ฟิลด์ (1880)
• แม็คคินลีย์ (1900)
• ฮาร์ดิ้ง (1920)
• รูสเวลท์ (1940)
• เคนเนดี้ (1960)

อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden)
นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลย โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ก็อดทรงเสกอาดัม-มนุษย์ผู้ชายขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้นผลไม้จากต้นแห่ง ความรู้หรือแอปเปิ้ล แต่งูตัวแสบซิครับ มันยุยงอีฟให้หมํ่าแอปเปิ้ลเข้าไป หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องซิ


เครดิต : tirkx.com :)

วันศุกร์ที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

:: Juju Magic ::



Juju is an aura or other magical property, usually having to do with spirits or luck, which is bound to a specific object; it is also a term for the object. Juju also refers to the spirits and ghosts in West African lore as a general name. The object that contains the juju, or fetish, can be anything from an elephant’s head to an extinguisher. One of the most popular juju objects in West Africa, for example, is a monkey's hand. In general, juju can only be created by a witch doctor; few exceptions exist. Juju can be summoned by a witch doctor for several purposes. Good juju can cure ailments of mind and body; anything from fractured limbs to a headache can be corrected. Bad juju is used to exact revenge, soothe jealousy, and cause misfortune. Contrary to common belief, voodoo is not related to juju, despite the linguistic and spiritual similarities. Juju has acquired some karmic attributes in more recent times. Good juju can stem from almost any good deed: saving a kitten, or returning a lost book. Bad juju can be spread just as easily. These ideas revolve around the luck and fortune portions of juju. The use of juju to describe an object usually involves small items worn or carried; these generally contain medicines produced by witchdoctors.

วันศุกร์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

:: ภาษาญี่ปุ่นวันละ(หลาย)คำ >~< ::

หมวดฤดูกาล

はるharu (spring) = ฤดูใบไม้ผลิ (เดือน3-5)
なつnatsu(summer) = ฤดูร้อน (เดือน6-8)
あき aki(autumn) = ฤดูใบ้ไม้ร่วง (เดือน9-11)
ふゆ fuyu(winter) = ฤดูหนาว (เดือน12-2)

วันอังคารที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: ยาน Phoenix ลงจอดบนดาวอังคารสำเร็จ ::

หลังทึ่ถูกส่งจากโลก เมือ วันที่ 4 สค. 2007 แล้วรอนแรมเดินทางไกล ถึง 422 ล้านไมล็ สู่จุดหมายปลายทางที่ขั้วเหนือของดาวอังคาร ขณะนี้ได้รับรายงานข่าวจากองค์การ นาซ่า แจ้งถึงความสำเร็จ ของยาน Phoenix ที่ลงจอดบนดาวอังคารสำเร็จ โดยได้รับสัญญาน เพื่อยืนยันความสำเร็จ จากดาวอังคาร ในเวลา 4:53:44 p.m. Pacific Time (7:53:44 p.m. Eastern Time) ด้วยการรับสัญญาน จากระบบ NASA's Deep Space Network

หลังจากลงสู่พื้นผิวดาวอังคารแล้ว ยาน Phoenixได้ทำการ กางแผงรับแสงอาทิตย์ เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า

และส่งภาพ กลับมายังโลก โดยทางสัญญานวิทยุ


ต่อจากนี้ ยาน Phoenix จะเริ่มภาระกิจ ในการสำรวจ ตรวจสอบ เป็นเวลา 3 เดือน โดยใช้แขนกล ตักตัวอย่าง มาวิเคราะห์ และส่งผลการทดสอบกลับมายังโลก ในการตรวจสอบมุ่งหาน้ำแข็ง และ สิ่งมีชีวิตที่นั้น

เครดิต : http://orionnebula.blog.mthai.com

วันพุธที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: Muffin ::

A somewhat odd combination of circumstances in the 1970s and 1980s led to significant changes in what had been a rather simple, if not prosaic, food. The decline in home-baking, the health food movement, the rise of the specialty food shop, and the gourmet coffee trend all contributed to the creation of a new standard of muffin.

Preservatives in muffin mixes led to the expectation that muffins did not have to go stale within hours of baking, but the resulting muffins were not a taste improvement over homemade. On the other hand, the baked muffin, even if from a mix, seemed almost good for one compared to the fat-laden alternatives of doughnuts and Danish pastry. "Healthful" muffin recipes using whole grains and such "natural" things as yogurt and various vegetables evolved rapidly. But for "healthful" muffins to have any shelf-life without artificial preservatives, the sugar and fat content needed to be increased, to the point where the "muffins" are almost indistinguishable from cupcakes. The rising market for gourmet snacks to accompany gourmet coffees resulted in fancier concoctions in greater bulk than the original modestly sized corn muffin.

The marketing trend toward larger portion sizes also resulted in new muffin pan types for home-baking, not only for increased size. Since the area ratio of muffin top to muffin bottom changed considerably when the traditional small round exploded into a giant mushroom, consumers became more aware of the difference between the soft texture of tops, allowed to rise unfettered, and rougher, tougher bottoms restricted by the pans. There was a brief foray into pans that could produce "all-top" muffins, i.e., extremely shallow, large-diameter cups. However, the reality of muffin physics prevented the fad from getting very far. The TV sitcom Seinfeld made reference to this in an episode in which the character Elaine Benes co-owns a bakery named "Top o' the Muffin to You!" that sold only the muffin tops (see The Muffin Tops (Seinfeld episode)). Along with the increasing size of muffins is a contrary trend of extremely small muffins. It is now very common to see muffin pans or premade muffins that are only one or two inches in diameter.

วันศุกร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

:: Shinkansen ::




Le Shinkansen désigne le train utilisé pour le transport ferroviaire à grande vitesse en service au Japon. L'utilisation d'un ensemble de lignes réservées et les technologies employées par le Shinkansen font que ce dernier en 1964 a ouvert l'ère de la grande vitesse ferroviaire.

Le succès commercial (le cap des 100 millions de passagers est franchi en moins de trois ans) a poussé à rapidement développer le réseau de lignes Shinkansen, qui de nos jours relie les plus grandes villes des îles de Honshū et Kyūshū. La vitesse commerciale a également connu une augmentation en passant de 210 km/h à 300 km/h.

L'expression shinkansen (en kanjis : 新幹線) signifie littéralement nouvelle grande ligne, les trains circulant sur les lignes Shinkansen sont officiellement appelés Super Express. Toutefois l'usage a retenu Shinkansen pour désigner à la fois les trains et les lignes.
L'expression anglaise Bullet Train utilisée uniquement par les anglophones, est une traduction de l'expression japonaise dangan ressha (弾丸列車), qui était le nom du projet initial quand il fut mis à l'étude dans les années 1940.
Le préfixe shin (新) signifie nouveau en japonais. Sa présence dans des noms de gares (par exemple la gare Shin-Ōsaka) n'est donc pas directement un rappel du nom shinkansen, mais simplement la conséquence de la nécessité de nouvelles gares. Notamment pour des raisons techniques : le Shinkansen utilise une largeur de voie différente du reste du réseau japonais.

Le Japon fut le premier pays à se doter de lignes réservées aux trains à grande vitesse. En effet, le réseau préexistant était à voie métrique anglaise (écartement de 1067 mm), adapté au caractère généralement montagneux du pays. Très sinueux pour contourner les obstacles du relief, il ne permettait pas d'augmenter les vitesses de circulation.
Plus encore que pour les anciennes lignes, celles du Shinkansen ont occasionné la construction de multiples ouvrages d'art, à l'image des tunnels et autres viaducs pour franchir les obstacles tout en conservant la trajectoire la plus rectiligne possible.
La construction du premier tronçon du Shinkansen, sur le Tōkaidō entre Tōkyō et Shin-Ōsaka, démarra en 1959. Il faudra attendre le 1er octobre 1964, à l'occasion des jeux olympiques de Tōkyō, pour inaugurer la ligne.
La ligne remporta un succès immédiat, le cap des cent millions de voyageurs fut franchi en moins de trois ans, précisément le 13 juillet 1967 et le milliard en moins de 12 ans (1976). Après 40 ans de service (4 octobre 2004), le nombre de voyageurs s'élève à 4,2 milliards. À titre de comparaison, il a fallu 23 ans au réseau TGV pour atteindre le milliard de passagers (avec une densité de population moindre).

Voculabulaire +
ferroviaire = แห่งรถไฟ
utilisation = การเอามาทำประโยชน์,การเอามาใช้
dernier = ที่สุด,สุดท้าย,ที่เพิ่งกล่าว
poussé = ละเอียดลออ,เต็มที่,หมดจด,สนิท
réseau = แผนติดต่อ,(รถไฟ)สายต่างๆ
également = เช่นเดียวกัน,อย่างเดียวกัน
augmentation = การเพิ่มทวี
usage = วิธีใช้,การใช้,ประเพณี,จารีต,ธรรมเนียม,การสวม,บริการ,มารยาท
Sa présence = การอยู่ที่นั่น,การปรากฏ
la conséquence = ผลลัพธ์,ผลสุดท้าย,ผลที่ตามมา,ความสำคัญ
obstacle = อุปสรรค,สิ่งขัดขวาง
relief = ความแตกต่างกันในระดับพื้นดิน,ความเด่น
tronçon du = ชิ้น,ส่วน,ตอน,ส่วน
inaugurer = ทำพิธีเปิด,ทำพิธิต้อนรับ