วันศุกร์ที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

วันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

:: ที่มาของ "ถุงกระดาษ" ::



'ถุงกระดาษ' ดูเป็นของที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ เห็นทุกวันใช้ทุกวัน ใช้ใส่ของเสร็จแล้วทิ้ง... จบเท่านั้น
แต่ถ้าคิดถึงให้ลึกสักนิดจะเห็นว่าถุงกระดาษมีความจำเป็น และสำคัญ เพราะใช้งานได้หลากหลาย นอกจากใช้ใส่ของ ปิคาสโซ่ ยังสร้างสรรค์งานบนถุงกระดาษสีน้ำตาล และซอล สไตน์เบิร์ก ใช้ถุงกระดาษมาประดิษฐ์งานศิลปะเป็นรูปหน้ากาก ในเมืองไทยถุงกระดาษใส่กล้วยแขกของเราก็สร้างนักอ่านนักเขียนขึ้นจำนวนไม่น้อย

ในอเมริกา คนใช้ถุงกระดาษถึงประมาณปีละ ๔ หมื่นล้านใบในเมืองไทยก็มีคนพับถุงกระดาษขายร่ำรวยส่งลูกหลานเรียนได้สูง ๆ

แต่น่าแปลกที่ว่าถุงกระดาษอันเป็นสิ่งสำคัญที่แสนเรียบง่ายนี้ เพิ่งมีใช้กันมาเพียงร้อยกว่าปีเท่านั้น

ในระยะแรก คนใช้ถุงกระดาษก้นแหลมกัน การผลิตก็ใช้มือพับกระดาษแล้วทากาว ใช้ถุงแบบนี้กันมานาน ทั้งที่ก้นแหลม ๆ ของถุงทำให้วางตั้งไม่ได้ ใส่ของบางอย่างก็ไม่เหมาะ แต่ด้วยความไม่ได้ใส่ใจต่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ จึงใช้กันเรื่อยมา

จนปี ค.ศ. ๑๘๘๓ ชาร์ล สติลแวล อดีตทหารเกณฑ์ผู้ร่วมรบในสงครามกลางเมืองของสหรัฐฯ ได้คิดประดิษฐ์ถุงแบบใหม่ขึ้นมา ความเป็นนักประดิษฐ์ของเขาเริ่มต้นจากการหัดซ่อมแซมข้าวของต่าง ๆ จนในที่สุดต่อมาจึงสามารถคิดค้นเครื่องจักรผลิตถุงแบบใหม่สำเร็จ

ถุงแบบใหม่นี้ยังคงใช้กระดาษสีน้ำตาล แต่ทำเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีสันพับเข้าเหมือนกับถุงที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เขาเรียกสิ่งประดิษฐ์ของเขาว่า 'ถุงเปิดได้' (Self-Opening Sack หรือย่อว่า S.O.S.) เพราะถือถุงสะบัดหน่อยปากถุงก็เปิดแล้ว

ถุงเอส โอ เอส เผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว เป็นที่นิยมของพ่อค้าตามร้านชำต่าง ๆ จุดขายของสินค้าชิ้นนี้อยู่ที่ เปิดออกง่าย พับหรือเก็บตั้งกองได้ไม่เกะกะเปลืองที่ ที่สำคัญที่สุดคือ บรรดาพ่อค้าชอบที่ถุงมหัศจรรย์นี้วางตั้งได้และเปิดออกกว้างได้ ใช้งานได้สะดวกกว่าถุงก้นแหลมมาก

ประมาณ ๕๐ ปีต่อมา ในสหรัฐอเมริกามีการเปิดร้านสรรพสินค้าขึ้น ก่อนหน้านี้ร้านค้าต่าง ๆ แต่ละร้านไม่มีสินค้าหลากชนิดให้เลือกนัก เมื่อมีร้านสรรพสินค้าขึ้นมาคนจึงฮือฮากันมากจำนวนร้านสรรพสินค้าผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด พร้อม ๆ กับยอดใช้ถุงกระดาษก็เพิ่มตามไปด้วย เพราะร้านไหน ๆ ก็ใช้ใส่สินค้าให้ลูกค้า ถุงกระดาษของสติลแวลจึงแพร่หลายไปทั่วประเทศและทั่วโลก

ชาร์ล สติลแวล เสียชีวิตในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๑๙๑๙ ที่เมืองเวน รัฐเพนซิลวาเนีย เขาคิดค้นสิ่งใหม่ให้แก่เพื่อนร่วมโลกมากมาย เช่น แผนที่บอกตำแหน่งดวงดาวสำหรับเคลื่อนย้ายไปใช้หรือแสดงตามที่ต่าง ๆ เครื่องพิมพ์ที่สามารถพิมพ์บนผ้าเคลือบกันน้ำ แต่ผลงานชิ้นเอกในชีวิตของเขา ได้แก่ สิ่งประดิษฐ์ที่จดทะเบียนสิทธิบัตรหมายเลข ๒๙๗,๕๐๕ ซึ่งก็คือเครื่องผลิตถุงกระดาษนั่นเอง

Credit :: sanook.com

วันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

:: Avocat ::



L'avocat est le fruit de l'avocatier (Persea americana), un arbre de la famille des lauracées (tout comme par exemple le laurier sauce et le cannelier), originaire d'Amérique Centrale.

Le mot avocat provient de l'espagnol, aguacate. Le terme aguacate provient à son tour du mot de langue nahuatl ahuacatl qui veut dire testicule, par analogie à la forme de cet organe.

Voculabulaire +
laurier = ใบไม้ชนิดหนึ่ง (ใช้ทำพวงมาลัยสวมศีรษะเป็นเกียรติ),มาลัย (ที่สวมศีรษะเป็นเกียรติ)
analogiee = อุปมาน,ความคล้ายคลึง
organe = องค์(การ),อวัยวะ,เครื่องมือ,ปากเสียง
terme = พจน์,ศัพท์,สำนวน,บั้นปลาย,ข้อตกลง

วันอังคารที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

:: Christian Bautista - The Way You Look At Me ::

เพลงมันเก่าไปนิดแต่ก็เพราะนะ

ลองฟังกันดูนะ ^________^

:: Christian Bautista - The Way You Look At Me ::



No one ever saw me like you do

All the things that I could add up too

I never knew just what a smile was worth

But your eyes see everything without a single word

'Cause there's somethin' in the way you look at me

It's as if my heart knows you're the missing piece

You make me believe that there's nothing in this world I can't be

I never know what you see

But there's somethin' in the way you look at me

If I could freeze a moment in my mind

It'll be the second that you touch your lips to mine

I'd like to stop the clock, make time stands still

'Cause, baby, this is just the way I always wanna feel

[Repeat CHORUS]

I don't know how or why I feel different in your eyes

All I know is it happens every time

[Repeat CHORUS]

The way you look at me



วันอังคารที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

:: La Cène ::



La Cène est une fresque, en huile et détrempe sur mur, de 460 cm sur 856 cm, de Léonard de Vinci, réalisée de 1494 à 1498 pour le couvent dominicain de Santa Maria delle Grazie à Milan.

Ce tableau représente la Cène (du latin cena qui signifie dîner, repas principal), dernier repas de Jésus de Nazareth entouré de ses douze apôtres qui se déroula le jeudi saint, veille de sa mort, dans la salle appelée le cénacle, sur la colline de Sion à Jérusalem.

Ludovico Sforza fut le commanditaire de cette œuvre qui orne le mur du réfectoire, au dessus d'une porte, de ce couvent dominicain.

Voculabulaire +
fresque = ภาพเขียนบนผนังและเพดานโบกปูน
huile = น้ำมัน,พวกบุญหนักศักดิ์ใหญ่
détrempe = ทำให้จืด,ทำให้ละลาย,แช่น้ำ
mur = ผนัง,กำแพง
commanditaire = หุ้นส่วนที่เป็นเสือนอนกิน
couvent = สำนักนางชี,อาราม

วันอังคารที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

วันเสาร์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Dog

The dog (Canis lupus familiaris) is a domestic subspecies of the wolf, a mammal of the Canidae family of the order Carnivora. The term encompasses both feral and pet varieties and is also sometimes used to describe wild canids of other subspecies or species. The domestic dog has been (and continues to be) one of the most widely-kept working and companion animals in human history, as well as being a food source in some cultures.

The dog has developed into hundreds of varied breeds. Height measured to the withers ranges from a few inches in the Chihuahua to a few feet in the Irish Wolfhound; color varies from white through grays (usually called blue) to black, and browns from light (tan) to dark ("red" or "chocolate") in a wide variation of patterns; and, coats can be very short to several centimeters long, from coarse hair to something akin to wool, straight or curly, or smooth.

วันศุกร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

:: ยาสีฟันทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด ::



เมื่อพูดถึง “ยาสีฟัน” ทุกคนก็ต้องนึกถึงครีมที่ใช้ทำควาสะอาดฟัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยาสีฟันไม่ได้มีประโยชน์แค่ทำให้ฟันขาว สะอาด แข็งแรง อย่างเดียวเท่านั้น แต่ในหลายๆสถานการณ์ ยาสีฟันก็มีประโยชน์กับเราเช่นกัน เรามาลองดูกันนะคะว่า ยาสีฟันใช้ประโยชน์อะไรได้อีกบ้าง

• ทำความสะอาด คราบและรอยขีดข่วนบนพื้นผิววัสดุ
• ขัดหน้าปัดนาฬิกา แตะกับเศษผ้าสักหลาดแล้วขัดเบา ๆ
• ช้อน ส้อม สเตนเลส ขัดถูด้วยผ้านุ่ม
• รอยขีดข่วนบนกระจกปูโต๊ะ ป้ายที่รอยแล้วใช้ผ้านุ่มขัดเบา ๆ
• รอยสกปรกบนโต๊ะพลาสติก
• เครื่องประดับเงินแท้ แตะสำลีหรือผ้านุ่ม ๆ ขัดถู
• หัวก็อกน้ำ ใช้เศษยาสีฟันที่ร่วงขณะแปรงฟันขัดถูหัวก็อก จะเงาเป็นประกาย
• บรรเทาอาการแสบร้อน
• โดนน้ำร้อนกระเด็นใส่ หรือน้ำมันจากกระทะกระเด็นใส่ ให้ป้ายยาสีฟันที่แผลจะบรรเทาอาการแสบร้อนได้ (ไม่แนะนำกรณีบาดแผลกว้าง ควรปฐมพยาบาลด้วยการใช้น้ำเย็นจัดราดที่แผลหรือผ้าชุบน้ำเย็นจัดโปะแผล)
• กลบเกลื่อนร่องรอย
• คราบลิปสติกที่ติดเสื้อ ใช้ยาสีฟันทารอยเปื้อนแล้วซักตามปกติ
• กลิ่นแรงที่ติดมือหลังทำครัว อย่างกลิ่นกระเทียม หอม แตะยาสีฟันเล็กน้อยแล้วล้างมือกับสบู่ กลิ่นจะหายไป

CREDIT : dek-d.com

วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

:: Jeu de go ::



Originaire d'Extrême-Orient, le jeu de go (碁 ou 囲碁 : igo en japonais) oppose deux adversaires qui placent à tour de rôle des pierres noires et blanches sur un tablier, appelé goban, tentant ainsi de contrôler le plan de jeu en y construisant des « territoires ». Chaque pierre représente un soldat ; les soldats encerclés deviennent des prisonniers.

Il s'agit du plus ancien jeu de stratégie combinatoire abstrait connu. Malgré son ancienneté, le jeu de go continue à jouir d'une grande popularité en Chine, en Corée et au Japon. Dans le reste du monde, où sa découverte est récente, sa notoriété va également croissant. Son succès tient autant à la simplicité de ses règles qu'à sa grande richesse combinatoire et sa profondeur stratégique.

Histoire du go
La très longue histoire du go s'est déroulée pour une grande part dans des mondes clos et séparés : en Chine d'abord puis au Japon et enfin en Occident. C'est seulement depuis la fin XXe siècle que le go commence à s'unifier sur le plan mondial.

Voculabulaire +
ainsi = ดั่งนี้,เพราะฉะนั้น
stratégie = ยุทธวิธี
abstrait = (ซึ่งเป็น,ทาง)นามธรรม
ancienneté = โบราณกาล,การมีอาวุโสกว่า
profondeur = ความลึก,ความลึกซึ้ง

วันพฤหัสบดีที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

:: ความเป็นมาของปริญญา 1 ใบ ::

เป็นที่รู้กันดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเริ่มเสด็จฯ
> >พระราชทานปริญญาบัตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493
> >และหลังจากนั้นบัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ
> >ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตรกลายเป็นของล้ำค่าที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือนและเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของหนุ่มสาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดา
> >จน 29 ปีต่อมา
> >มีผู้คำนวณให้ฉุกใจคิดกันว่าพระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตรนั้นเป็นพระราช
> >ภารกิจที่หนักหน่วงไม่น้อย หนังสือพิมพ์ลงว่าหากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร 490
> >ครั้ง ประทับครั้ง ละราว 3 ชม. เท่ากับทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานใบปริญญาบัตร
> >470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตร ฉบับละ 3 ขีด
> >รวมน้ำหนักทั้งหมดที่พระราชทานมาแล้ว 141 ตัน ไม่เพียงเท่านั้น ดร.สุเมธ
> >ตันติเวชกุลยังเล่าเสริมให้เห็น 'ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ'
> >ที่ไม่มีใครคาดถึงว่าท่านไม่ได้พระราชทานเฉย ๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลา
> >โบหลุดอะไรหลุดพระองค์ท่านทรงผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อย
> >บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวัน ฝุ่นมันจับ พระองค์ท่านก็ทรงปัดออก
> >ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงลดการเสด็จฯ
> >พระราชทานปริญญาบัตรลงบ้าง โดยอาจงดเว้นการพระราชทานปริญญาบัตรในระดับป.ตรี
> >คงไว้แต่เพียงระดับปริญญาโทขึ้นไป
> >พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมีพระราชกระแสรับสั่งตอบว่า
> >พระองค์เองเสียเวลายื่นปริญญาบัตรให้บัณฑิตคนละ 6-7 วินาทีนั้น
> >แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็นปี ๆ เปรียบกันไม่ได้เลย ที่สำคัญคือ
> >ทรงเห็นว่าการพระราชทานปริญญาสำหรับผู้สำเร็จป.ตรี
> >นั้นสำคัญเพราะบางคนอาจไม่มี โอกาสศึกษาชั้นปริญญาโทและปริญญาเอก ดังนั้น '
> >จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตปริญญาตรีไปจน กว่าจะไม่มีแรง'

เครดิต : dek-d.com

วันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Morning Musume :: Ai Araba IT'S ALL RIGHT

Ai Araba IT'S ALL RIGHT
愛あらばIT'S ALL RIGHT


Morning Musume
モーニング娘。



ai araba It's all right

tokui na koto yori mo
suki na koto ga ii

sono ba no shouri yori mo
hontou ni sugoku narou

"koi" wa toki ni kurushii
"aisuru" tte toutoi

subete wo omonjite
taiyou wo abiyou

sou sa
jidai wa sorezore ippai
ganbatte kita yo ne
ojiichan ya sono mata jiichan
sono mata motto motto baachan ni
kansha ga minagiru

hatsukoi wo shita toki
doushitara ii no ka wakarazu ni
senobi shite KISU shita
ima made de ichiban
furuechatta shunkan

nayami ga kienakute
namida nagashitari

kotoba torichigaete
gokai maneitari

demo
shoujiki ni ikiterya ippai
kandou ni deau sa
datte kyou wa kyou de mata atarashii
tottemo shizen na shinsetsu ni
deatta wake dashi

ai araba It's all right
taiyou wa subete omitooshi sa (sore)
kodawareba It's all right
mirai wa It's all right
fumidase It's all right

Fu Fu Yeah! Hey

ai araba It's all right
taiyou wa subete omitooshi sa (ho)
kodawareba It's all right
mirai wa It's all right

(Come on!)
ai araba It's all right
taiyou wa subete omitooshi sa (Hey)
kodawareba It's all right
mirai wa It's all right

(sou sa minasan It's all right Say!)

ai araba It's all right
taiyou wa subete omitooshi sa (Hi!)
kodawareba It's all right
mirai wa It's all right
fumidase It's all right

No No No No No...Fu Yeah!

=======================================

ถ้ามีความรักอยู่ล่ะก็ IT'S ALL RIGHT

เรื่องที่ชอบน่ะ
มันดีกว่าเรื่องที่ถนัด

ไปสู่ความจริง
ที่ดียิ่งกว่าชัยชนะกันเถอะ

"การหลงรัก" อาจเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวด
"ความรัก" มันเป็นสิ่งที่สูงค่า

ให้ความสำคัญกับทุกอย่าง
แล้วอาบแสงตะวันบ้างเถอะ

ใช่แล้วล่ะ
ยุคสมัยมันเต็มไปด้วย
ความพยายามของแต่ละคนเนอะ
คุณปู่ แล้วก็ คุณตาคนอื่นๆอีก
แล้วก็ยังมีคุณยายอีกหลายๆคน
ความรู้สึกขอบคุณน่ะมันเอ่อล้นขึ้นมาเลย

ตอนที่มีรักแรก
แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
ก็เลยยืดตัวไปจุ๊บเข้า
นั่นน่ะเป็นครั้งแรกเลย
ที่จู่ๆก็ตัวสั่นขึ้นมา

ถึงความทุกข์ใจมันไม่ยอมหายไป
แล้วน้ำตามันก็ไหลลงมา

ถึงจะพูดอะไรผิดไป
เข้าใจอะไรผิดไป

แต่ว่า
ถ้าใช้ชีวิตอย่างสุจริตล่ะก็
จะต้องพบเรื่องที่น่าซาบซึ้งมากมายแน่ๆ
ก็วันนี้เป็นวันใหม่นี่นา
เพราะว่าวันนี้
ได้พบกับความใจดีที่ไม่มีการแสแสร้ง

ถ้ามีความรักอยู่ล่ะก็ It's all right
พระอาทิตย์น่ะส่องลงมายังทุกที่น่ะแหละ ( sore )
ถึงจะมีอุปสรรคก็ It's all right
อนาคตน่ะ It's all right
ก้าวออกไปสิ It's all right

Fu Fu Yeah! Hey!

ถ้ามีความรักอยู่ล่ะก็ It's all right
พระอาทิตย์น่ะส่องลงมายังทุกที่น่ะแหละ ( ho )
ถึงจะมีอุปสรรคก็ It's all right
อนาคตน่ะ It's all right

( Come on! )
ถ้ามีความรักอยู่ล่ะก็ It's all right
พระอาทิตย์น่ะส่องลงมายังทุกที่น่ะแหละ ( Hey! )
ถึงจะมีอุปสรรคก็ It's all right
อนาคตน่ะ It's all right

( ใช่แล้วล่ะทุกคน It's all right Say! )

ถ้ามีความรักอยู่ล่ะก็ It's all right
พระอาทิตย์น่ะส่องลงมายังทุกที่น่ะแหละ ( Hi! )
ถึงจะมีอุปสรรคก็ It's all right
อนาคตน่ะ It's all right
ก้าวออกไปสิ It's all right

No No No No No...Fu Yeah !




CREDIT :: Song by sakurasoushi.com , Lyric by morningmelody.com

วันอังคารที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

แรงจูงใจ

ประโยคหล่านี้ คือ แรงจูงใจ ให้ผมทำสิ่งต่างๆต่อไปในชีวิต และได้ แนวคิดใหม่ๆหลายอย่าง เป็นประโยคที่ผมชอบมาก

Impossible is nothing (Adidas)
Just do it! (Nike)
พรสวรรค์1% ความพยายาม99% (Tiger Beer)

"Genius is one percent inspiration and ninety-nine percent perspiration"
ความอัจฉริยะ 1% ความมุมานะ 99% ( ธอมัส อัลวา เอดิสัน )

"Just because something doesn't do what you planned it to do doesn't mean it's useless."
(เพียงเพราะว่าบางสิ่งไม่ได้เป็นไปตามแผนที่ท่านวางไว้ มิได้หมายความว่ามันจะไร้ประโยชน์เอาเสียเลย) <ธอมัส อัลวา เอดิสัน >

Keep walking (Johny walker )
หมื่นลี้ ต้องเริ่มที่ก้าวแรก
โลกหมุนด้วยความรัก (โบ สุรัตนาวี)
พรุ่งนี้..ไม่สาย (Endophine)
ฝันให้ไกลไปให้ถึง ไม่แข่งยิ่งแพ้
You will when you believe
Life is gift of god

การดูถูกคนอื่น ถือเป็นการทำให้ตัวเองดูมีค่าขึ้นเท่านั้นเอง
นิว อามตรอง ยังเหยียบดวงจันทร์ได้เลย แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้


เดินตามผุ้ใหญ่หมาไม่กัด ทำไมเราไม่เดินไปอีกทาง อีกทางอาจไม่มีหมาก็ได้ ไม่ก็ไปสู้กับหมาเอาซะเลย จะได้รู้ (อิฐ,a day)

วันเสาร์ที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

สัจธรรมของการ์ตูนญี่ปุ่น*

สัจธรรมของการ์ตูนญี่ปุ่น

1. พระเอกที่ท่าทางงี่เง่าหรือน่าสมเพช มักจะเจอเรื่องโชคดีแบบไม่น่าเชื่อ (และน่าอิจฉา) เสมอ
เช่น โนบีตะ ที่อยู่ดีๆ ก็มี โดเรมอน โผล่พรวดออกมาจากลิ้นชัก
อุราชิมาเคทาโร่ แห่ง บ้านพักอลเวง (Love Hina) ที่อยู่ๆก็ได้รับมรดกเป็นหอพักหญิงที่มีสาวอยู่กันตรึม

2. คู่แข่งพระเอกจะเหมือนเก่งกว่า เท่กว่าพระเอกอยู่เสมอ ซึ่งพระเอกจะไม่มีวันสู้เลย ยกเว้นจะฮึดสุดๆ หรือฟลุกเด็ดๆ เจ้าคู่แข่งคนนั้นถึงจะแพ้
ดูอย่างในเรื่อง ซึบาสะ ที่จริงๆ แล้ว มิสุงิ จุน เก่งกว่า ซึบาสะ เสียอีกในช่วงแรกๆ แต่ดันเป็นโรคหัวใจเสียอีก
ปิศาจจิ้งจอกทามาโมะ ใน มืออสูรล่าปิศาจ ก็เก่งกว่า คุณครูนูเบตั้งเยอะ แต่ก็แพ้ลูกอึด
หรือเจ้า ไคบะ เซโตะ ในเรื่อง “เกมส์กลคนอัจฉริยะ” ก็มีการ์ดบลูอายส์ ไวท์ดราก้อนตั้งสามใบ แต่ก็มักจะไปแพ้ครีโบ้เห่ยๆของยูกิได้บ่อยๆไป

3. แล้วนายตัวข้างต้นที่กล่าวถึง มักจะกลับใจมาเป็นพวกพระเอกภายหลังเสมอ โดยจะเหลือคำพูดแก้เกี้ยวประมาณว่า “ข้าร่วมมือกะเอ็งแค่ครั้งนี้เท่านั้นนะเฟ้ย อย่าลืมว่าเราเป็นศัตรูกัน” (แต่ก็ตามมาช่วยแทบทุกครั้ง บางทีถึงขนาดตายแทนกันได้)

4. เวลาไปเที่ยวตามเกาะ ตามป่า ตามเขา ควรเช็คประวัติเพื่อนฝูงที่ไปเที่ยวให้ดี ว่ามีใครที่มีประวัติอะไรแปลกๆ เมื่อสี่ซ้าห้าสิบปีก่อนหรือไม่ ไม่งั้นเกาะนั้นอาจจะกลายเป็นห้องปิดตายขนาดยักษ์ และมีฆาตกรโรคจิตโผล่มาได้ แล้วก็จะมีคนพูดขึ้นมาว่า “อ้ะ หรือจะเป็นเรื่องเมื่อสิบปีก่อน...” ให้คนอื่นหน้าซีดกันเล่นๆ

5. คินดะอิจิ ฮาจิเมะ และ เอโดงาวะ โคนัน คือ ตัวซวยและตัวอันตราย ของตำรวจญี่ปุ่น ด้วยเจ้าหมอสองคนนี่โผล่ไปที่ไหน มีคนตายแบบแปลกๆทุกรายไป

6. แฟนของเจ้าสองคนข้างบน คุ้นเคยและเห็นคนตายต่อหน้าต่อตามาไม่ต่ำกว่ายี่สิบศพ แต่ทุกครั้งที่เห็นคนตาย เธอก็จะร้องกรี๊ดและเป็นลมได้ทุกครั้ง (น่าจะชินเสียบ้างนะ)

7. ฆาตกรอัจฉริยะที่วางแผนฆาตกรรมซ่อนเงื่อนอย่างแยบยลในห้องปิดตายสารพัดจะลึกลับ มักจะพลาดแบบงี่เง่า เช่น ทิ้งก้นบุหรี่หรือกระดุม แหวน หรืออะไรๆ ที่มันส่อให้โยงถึงตัวเองเอาไว้

8. ตำรวจญี่ปุ่นมีการทำงานที่เปิดกว้างแบบสุดๆ ยอมให้เด็กตัวกระเปี๊ยกและเด็กมัธยมเข้าถึงหลักฐานฆาตกรรมได้โดยสมบูรณ์

9. ฟองสบู่และหมอกควัน ในการ์ตูนญี่ปุ่นทำหน้าที่ของมันได้ดีเสมอ โดยเฉพาะในฉากโรงอาบน้ำ คือมันจะคอยลอยไปปิดในส่วนที่ผู้อ่านอยากเห็นอย่างมิดชิดทุกครั้ง

10. เวลาผู้หญิงแก้ผ้า จะมีเสียง “ฟ้าว” “วืด” “ซ่า” “ผ่าง” “ควับ”หรือ “พรวด” และ ฯลฯ ออกมาจากส่วนที่พึงสงวนเสมอ

11. การ์ตูนเกี่ยวกับการทำอาหาร จะพบสัจธรรมว่า พระเอกสามารถใช้หม้อหรือกระทะใบย่อมๆ แต่ทำอาหารเลี้ยงคนได้ทั้งโตเกียวโดม

12. ลูกบอลในการ์ตูนเรื่อง ซึบาสะนั้น ลอยช้ามาก ระหว่างเท้าถึงประตูนั้น นักเตะสามารถระลึกความหลังได้กว่าชาติครึ่ง ประมาณว่ายิงแล้วนึกถึงเพื่อนฝูงญาติโยมและครูอาจารย์ได้โขยงนึง บอลถึงเข้าประตู

13. การ์ตูนเรื่องข้างบน ถ้าเป็นแมตช์สำคัญ ทีมญี่ปุ่นจะถูกยิงนำไปจนหายห่วง เพื่อรอจังหวะยิงมา จนกระทั่งกลับมานำได้ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขันทุกทีไป

14. นางเอกส่วนใหญ่จะเกลียดขี้หน้า หรือไม่ชอบพระเอกมาตั้งแต่ต้น แต่ลึกๆจะแอบเป็นห่วงอยู่เสมอ และจะออกไปในรูปของซ้อมไปห่วงไปมากกว่า

15. ถ้าพระเอกมีเหตุผลที่น่าจะให้เข้าใจผิดกับนางเอก เช่น มีรุ่นน้องมาให้ของขวัญ เดินออกมาจากโรงแรมกับใคร หรือมีคนแปลกหน้ามาจุ๊บ คุณไม่ต้องห่วง นางเอกเห็นแน่ๆ เห็นกับตาเลยด้วย

16. ถ้ามีการอาบน้ำในห้องสาธารณะหรือบ่อน้ำแร่ มีโอกาสถึง 90% ที่ ไม่พระเอกก็นางเอกที่จะลงบ่อหรือเข้าห้องน้ำผิด หรือมาพบภายหลังว่าเป็นบ่ออาบน้ำรวม


CREDIT :: FixxxBoard

วันอาทิตย์ที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ตำนานขนมครก, ขนมของ....คนรักกัน

ตำนาน "ขนมครก" อ่านแล้วอยากให้ขนมครก คนรักแทนขนมเค้ก...


ทิ หรือพ่อกะทิ ชายหนุ่ม โผงผางผู้กำพร้าพ่อแม่ อยู่ตัวคนเดียว
พูดจริงทำจริง

ขยันขันแข็งเอางาน เอาการ เสร็จจากงานนาก็มารับจ้างขี่ควายส่งคนเข้าซอย

ทุกคนในหมู่บ้าน ล้วนรักและเอ็นดูทิ ยกเว้นผู้ใหญ่ปลั่ง

เพราะผู้ใหญ่ปลั่งมีลูกสาว สวย ที่ดันมาหลงรักทิด้วยเช่นกัน

แม่แป้ง ลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่ ปลั่งสาวสวยประจำหมู่บ้าน

นางเจอกับทิในวันลอยกระทง ทั้งคู่ขี่ควาย สัญญากันต่อหน้าพระจันทร์

ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด
ทั้งคู่ก็จะขอเอาความรักแท้ที่จริงใจฝ่าฟันข้ามไป

แล้วทิก็รวบรวม เงินทองเท่าที่เก็บสะสมมาได้
ไปบ้านผู้ใหญ่ปลั่งเพื่อสู่ขอแม่แป้ง

ซึ่ง ผู้ใหญ่ก็ต้อนรับมันอย่างดี ด้วยชายฉกรรจ์ 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือ
ทิไม่ว่า กระไร

ได้แต่พาร่างอันสะบักสะบอม กลับไปบ้านนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลาย วัน

ด้วยใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาขอใหม่ ขอไปจนกว่าผู้ใหญ่จะใจ อ่อน

ในที่สุดผู้ใหญ่ปลั่งก็ปิดหนทางความรักของทิด้วยการคลุมถุงจัด งานแต่งงาน

ให้ลูกสาวกับปลัดหนุ่มจากบางกอก ทิรู้ข่าวจึงรีบวิ่งทุรน
ทุรายหมายจะมาทำลายพิธี

ซึ่งผู้ใหญ่ปลั่งก็รู้ดีว่าทิต้องกระทำแบบ นี้ จึงขุดหลุมพรางดักรอเอาไว้

แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้าย ก็แอบหนีหมายจะ มาห้ามคนรักไม่ให้หลงกล

เหตุการณ์ต่อไปนี้ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์ ได้
แต่ปะติดปะต่อมาจากคำบอกเล่าของชาวบ้านแบบปากต่อ
ปากว่า…

... คืนนั้น เป็นคืนเดือนแรม

แม่แป้งแอบวิ่งฝ่าความมืดออกมาดักหน้าทิ ทิเห็น แม่แป้งวิ่งมาก็ดีใจ
รีบวิ่งไปหา

แม่แป้งเห็นทิรีบวิ่งมาก็รีบวิ่ง เข้าไปหาให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก

ฉับพลัน...ร่างแม่แป้งก็ร่วงหล่นลงไปใน หลุมพราง

ของผู้ใหญ่ปลั่งต่อหน้าต่อตาทิทันที

อารามตกใจ ทิรีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือ

อารามดีใจ สมุนชายฉกรรจ์ 6

นายของผู้ใหญ่ปลั่งรีบเข้ามาโกยดินฝังกลบ

เพราะคิดว่าก้นหลุมมีเพียง ทิผู้เดียวที่อยู่ในนั้น

... รุ่งเช้า ผู้ใหญ่ปลั่งเดินยิ้มมาขุดหลุม เพื่อดูผล

ภาพเบื้องล่างพบทิตระกองกอดทับร่างแม่แป้งลูกสาวของ ตน

นอนตายคู่กันอย่างมีความสุข

เมื่อยิ้มถูกเปลี่ยนไปเป็น น้ำตา…

ผู้ใหญ่ปลั่งสั่งลูกสมุนสร้างเจดีย์คลุมครอบปิดหลุมนั้น ไว้

เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจคนทั่วไปว่า

อย่าคิดทำร้ายหรือ ทำลายความรักของใครอีกเลย

สถานที่ตั้งเจดีย์นั้นไม่มีใครรู้แน่ นอน

จะมีก็แต่เพียงอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็น ประเพณี

ทุกแรมหกค่ำเดือนหก

ชาวบ้านที่ศัรทธาในความรักของทิ กับแม่แป้งจะตื่นตั้งแต่มืด

เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวาน

ปรุง จากแป้งและกะทิ

บรรจงแคะจากพิมพ์ แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกัน

เป็นสัญลักษณ์ว่า จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป

ขนมนี้เรียกขานกันในนาม ขนม แห่งความรัก

(ขนมของ "คนรักกัน" )

หรือเรียกย่อๆ ว่า " ขนม ค.ร.ก."

Credit :: dek-d.com T^T

ต้นกำเนิดของแปรงสีฟัน +


รู้รึเปล่าว่า ต้นกำเนิดของแปรงสีฟัน ที่เราต้องใช้แปรงฟันทั้งเช้าและเย็นนั้นมาจากไหน?
คนที่คิดค้นแปรงสีฟันอันแรกของโลก คือ วิลเลียม แอดดิส ชาวเมืองเคิร์กเคนวอลล์ ซึ่งเกิดทำผิดมีอันต้องเข้าไปนอนในคุก ตอนนั้นผู้คนทั้งในและนอกคุกใช้วิธีแปรงฟันโดยใช้เศษผ้า นำมาถู ๆ ที่ฟัน รวมถึงนายแอดดิสด้วย ระหว่างนั้นแอดดิสจึงเริ่มที่จะคิดค้นเครื่องมือที่จะช่วยในการทำความสะอาดฟัน หรือที่เรารู้จักกันดีว่า “แปรงสีฟัน” นั่นเอง
อุปกรณ์ที่แอนดิสนำมาทำแปรงสีฟันคือ กระดูก เอามาเจอะเป็นรูเล็กๆขอขนแปรงจากผู้คุมมายัดลงไปในรูแล้วติดกาว หลังจากนั้นเมื่อ แอดดิสออกจากคุก เขาก็เริ่มประดิษฐ์แปรงสีฟันออกขาย จึงเป็นต้นกำเนิดของแปรงสีฟันที่มีให้เราใช้มาจนถึงทุกวันนี้

Credit :: sakid.com ^____^

วันจันทร์ที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Réveil-matin


Un réveille-matin mécanique


Un réveille-matin électrique

Un réveil-matin ou réveille-matin, couramment appelé réveil, est une horloge qui émet un son à une heure pré-déterminée. On l'utilise généralement pour se réveiller en début de journée, d'où son nom. Il a été inventé par Antoine Redier.

Les réveils-matin modernes ne s'arrêtent pas de sonner tant qu'une action n'a pas été effectuée par l'utilisateur, afin d'être certain qu'il l'a bien entendu et qu'il s'est bien réveillé, s'apparentant ainsi à un dispositif de l'homme mort.

Il est possible de régler le déclenchement de certains réveils-matin à deux heures distinctes.

Plus récemment, des récepteurs radio ont été intégrés aux réveils, permettant de déclencher au choix un son ou un programme diffusé par une station de radio : on parle alors de radio-réveil. Plus tard, il en a été de même avec des lecteurs de cassettes ou de CD, permettant de se réveiller avec la musique de son choix.

Certains réveils-matin proposent aussi de choisir entre plusieurs sons pour se réveiller, certains étant plus adaptés à un réveil en douceur (chants d'oiseaux, bruit des vagues, etc.).

Certains permettent de s'endormir avec la musique ou la radio, en offrant un mode de temporisation (Sleep) qui éteint l'appareil automatiquement après un délai réglé par l'utilisateur. Certains offrent une fonction de répétition de l'alarme (Snooze) qui permet d'éteindre l'alarme temporairement, alarme qui se déclenchera automatiquement de nouveau après un délai pour permettre de rester au lit quelques minutes supplémentaires sans risquer de s'oublier.

D'autres appareils peuvent être utilisés en guise de réveils-matin : montre, téléphone mobile, ordinateur, télévision, etc.

Voculabulaire +
réveil-matin = นาฬิกาปลุก
couramment = อย่างคล่องแค่ลว,อย่างง่ายดาย,โดยทั่วไป
une horloge = นาฬิกาแขวนหรือตั้ง
récemment = เมื่อเร็วๆนี้,ซึ่งผ่านพ้นมาเมื่อเร็วๆนี้,ใหม่
automatiquement = อัตโนมัติ

วันจันทร์ที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

mA K3ro /*

Monaco



La Principauté de Monaco, ou Monaco en forme courte, est une Cité-État ainsi qu’une commune occupant la même superficie que l’État lui-même. Enclavée dans le territoire français, Monaco est situé au bord de la mer Méditerranée, le long de la Côte d'Azur, à une vingtaine de kilomètres à l’est de Nice.

Indépendante depuis 1297, cette monarchie constitutionnelle dirigée depuis 2005 par le Prince souverain Albert II de Monaco occupe aujourd’hui une superficie de 2,02 km2[3] ce qui, après le Vatican, en fait le deuxième plus petit État indépendant du monde. Lors du dernier recensement de 2000, Monaco comptait 32 020 habitants[4]. Avec 15 851 hab./km2, c’est le pays le plus densément peuplé. En 2006, la population était estimée à 32 543[5].

Pratiquement entièrement urbanisée, la principauté de Monaco bénéficie d’un climat méditerranéen particulièrement clément et dispose de nombreuses installations hôtellières de luxe. De nombreux événements internationaux (Grand Prix de Formule 1, Tournoi de Monte-Carlo, Masters de Monte-Carlo) s’y déroulent en plus des attractions présentes tout au long de l’année (Casino de Monte-Carlo, Musée océanographique, Palais princier), ce qui en fait une destination privilégiée pour les touristes.

วันพฤหัสบดีที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

"ขนม"

ประวัติที่มาของคำว่า "ขนม"


คำว่า "ขนม" เข้าใจว่ามาจากคำสองคำที่ผสมกันมาแล้ว คือ ข้าวหนม กับข้าวนม ข้าวหนมนั้นเข้าใจว่าเป็นข้าวผสมกับน้ำอ้อย น้ำตาล โดยคำว่า หนมแปลว่า หวาน อย่างข้าวหนมก็แปลว่า ข้าวหวาน เรียกสั้น ๆ เร็ว ๆ จึงเพี้ยนเป็นขนมไป ส่วนที่มาจากข้าวนม(ข้าวเคล้านม) ออกจะดูเป็นแขกเพราะว่าอาหารของแขกบางชนิดใช้ข้าวมธุปายาสของแขกโบราณ(ดังที่นางสุชาดา ทำถวายพระพุทธเข้าเมื่อตอนตรัสรู้ก็ว่าเป็นข้าวหุงกับนม) และเช่นเดียวกันเมื่อพูดเร็ว ๆ จึงเพี้ยนภลายเป็นขนมแทน

คำว่าขนมมีใช้มานานหลายร้อยปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำผสมของอะไร จึงเป็นการยากที่จะสันนิฐานให้แน่นอนได้ ของที่เรียกว่าขนมในสมัยโบราณ หรือในสมัยที่จะมีคำว่าขนมนั้นจะเป็นของที่เกิดจากข้าวตำป่น (แป้ง) แล้วผสมกับน้ำตาลเท่านั้น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นขนมรุ่นแรก ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงขนมต้มไว้เหมือนกัน เดิมมีแป้งกับน้ำตาล ต่อมามีคนดัดแปลงสอดไส้เข้าไปอีก ถึงตอนนี้ยังมีมะพร้าวปนอยู่ด้วย ขนมไทยจึงมี มะพร้าว แป้ง และน้ำตาล ไม่พ้น ของทั้ง 3 เป็นของพื้นเมืองที่หาได้โดยทั่วไป

ประเภทของขนมที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้

-ขนมไทย
-ขนมขบเคี้ยว หรือ สแน็ก
-ขนมหวาน
-ขนมเค้ก
-ขนมปัง

Credit : dek-d.com

วันเสาร์ที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Halloween



L'Halloween ou l'Hallowe'en est une fête qui se déroule dans la nuit du 31 octobre au 1er novembre. Elle est fêtée principalement au Canada et aux États-Unis. La principale tradition veut que les enfants se déguisent avec des costumes qui font peur (squelettes, sorcières, monstres, etc.) et aillent sonner aux portes en demandant des bonbons, des fruits ou de l'argent en disant, « Trick or treat ! » (« Des friandises ou un mauvais tour ! ») ou simplement «Halloween!». D'autres activités incluent des bals masqués, le visionnage de films d'horreur, la visite de maisons "hantées", etc.

Halloween tire une lointaine origine d'une fête païenne celte ("Samain") qui a perduré plus longtemps chez les Celtes d'Irlande et de Grande-Bretagne que sur le continent européen. Après avoir évolué suite à la christianisation des populations, cette tradition a été transportée en Amérique du Nord au XIXe siècle par les Irlandais, les Écossais et autres immigrants.

Le principal symbole d'Halloween est la citrouille, remplacée quelquefois par un potiron (Jack-o'-lantern en anglais) : on le découpe pour y dessiner, en creux, un visage, puis on place une bougie en son centre.

วันอังคารที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

L’opéra



L’opéra est un terme générique qui désigne une œuvre destinée à être chantée sur une scène, appartenant à un genre musical vocal classique du même nom et pouvant être considérée comme l’une des formes du théâtre musical occidental regroupées sous l’appellation d’art lyrique.

L'œuvre, chantée par des interprètes possédant un registre vocal déterminé en fonction du rôle et accompagnés par un orchestre, parfois symphonique, parfois de chambre, parfois dédié exclusivement au seul répertoire d'opéra, est constituée d'un livret mis en musique sous forme d'airs, de récitatifs, de chœurs, d'intermèdes souvent précédés d'une ouverture, et parfois agrémentée de ballets.

Le genre musical est décliné selon les pays et les époques et recouvre des œuvres d’appellations et de formes différentes.

Aujourd’hui, les œuvres sont jouées dans des salles d’opéra spécifiquement dédiées ou tout simplement sur des scènes de théâtre ou dans des salles de concerts.

Les représentations en sont organisées par des institutions du secteur public ou privé, parfois désignées sous le vocable de "maison d'opéra", qui peuvent regrouper les compagnies d’artistes (orchestre, chœur et ballet) et les services administratifs et techniques nécessaires à l’organisation des saisons culturelles.

BoOn +

วันจันทร์ที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Kelly Clarkson :: Because of You


เพลงนี้ถ้าฟังแบบผิวเผิน ก็คงจะคิดว่าเป็นเพลงรักๆ ทั่วไป เธอกับฉัน ฉันกับเธอ แต่จริงๆ แล้วเพลงนี้ Kelly เธอแต่งเอง ตอนอายุ 16 ปี เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของเธอ พ่อกับแม่ของ Kelly หย่าร้างกัน เธอก้อเลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมา ความหมายซึ้งกินใจมาก ส่วน MV ก็จำลองสถานการณ์ที่เธอได้เจอตอนเด็กๆ และสื่อออกมา สอดคล้องกับเนื้อหาเพลง ถ้าได้ดู MV จะเข้าใจอารมณ์ของ Kelly มากขึ้น จะจบแบบ happy ending หรือว่า จบแบบเศร้าๆ ก็ต้องลองหาดูนะ
=======================================
I will not make the same mistakes that you did
I will not let myself cause my heart so much misery
I will not break the way you did
You fell so hard
I learned the hard way, to never let it get that far

Because of you
I never stray too far from the sidewalk
Because of you
I learned to play on the safe side
So I don't get hurt
Because of you
I find it hard to trust
Not only me, but everyone around me
Because of you
I am afraid

I lose my way
And it's not too long before you point it out
I cannot cry
Because I know that's weakness in your eyes
I'm forced to fake a smile, a laugh
Every day of my life
My heart can't possibly break
When it wasn't even whole to start with

Because of you
I never stray too far from the sidewalk
Because of you
I learned to play on the safe side
So I don't get hurt
Because of you
I find it hard to trust
Not only me, but everyone around me
Because of you
I am afraid

I watched you die
I heard you cry
Every night in your sleep
I was so young
You should have known better than to lean on me
You never thought of anyone else
You just saw your pain
And now I cry
In the middle of the night
Over the same damn thing

Because of you
I never stray too far from the sidewalk
Because of you
I learned to play on the safe side so I don't get hurt
Because of you
I tried my hardest just to forget everything
Because of you
I don't know how to let anyone else in
Because of you
I'm ashamed of my life because it's empty
Because of you
I am afraid

Because of you
Because of you
=======================================
หนูจะไม่ทำในสิ่งผิดพลาดที่แม่เคยทำ
หนูจะไม่ทำให้ตัวเองต้องปวดร้าว
หนูไม่เคยคิดจะหยุดยั้งในสิ่งที่แม่ทำหรอกนะ
แม่ตกต่ำมากจริงๆ
หนูเรียนรู้ชีวิตที่ยากลำบาก และหนูจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องเป็นอย่างนั้น

เพราะแม่ หนูถึงมีชีวิตที่แสนยากเข็ญ
เพราะแม่ หนูจึงเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียใจอีก
เพราะแม่นั่นแหละ หนูถึงไม่คิดที่จะเชื่อใจใคร
ไม่เพียงแค่ตัวหนูเท่านั้น แต่รวมไปถึงทุกๆ คนที่อยู่รอบๆ ตัวหนู
เพราะแม่ ทำให้หนูหวาดกลัว

หนูรู้สึกสับสน แต่คงไม่นานเกินไปก่อนที่แม่จะได้อธิบายมันหรอกนะ
หนูไม่สามารถร้องไห้ได้ เพราะหนูเห็นความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้นของแม่
หนูต้องแกล้งทำเป็นยิ้ม แกล้งหัวเราะตลอดเวลาที่ผ่านมา
หัวใจของหนูไม่ได้หยุดพักเลยสักนิด เพราะมันไม่พร้อมที่จะเริ่มต้น

หนูเห็นแม่เหมือนคนใกล้ตาย
หนูได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ทุกคืน
หนูยังเด็ก แม่น่าจะเข้าใจอะไรได้ดีกว่าจะที่จะมาพึ่งหนู
แม่ไม่เคยนึกถึงคนอื่นเลย แม่เห็นแต่ความเจ็บปวดของแม่เองเท่านั้น

เพราะแม่ หนูถึงมีชีวิตที่แสนยากเข็ญ
เพราะแม่ หนูจึงเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียใจอีก
เพราะแม่ หนูจึงพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะได้ลืมทุกๆ อย่าง
เพราะแม่ หนูจึงไม่อยากรักใคร
เพราะแม่ หนูจึงรู้สึกละอายต่อชีวิตที่แสนว่างเปล่า
เพราะแม่ ทำให้หนูหวาดกลัว

เพราะแม่นั่นแหละ
เพราะแม่



Credit :: Song By dek-d.com ,, Lyric By azlyrics.com

วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

:: newton ::

Le newton (symbole : N) est l'unité SI de force, nommé ainsi en l'honneur d'Isaac Newton pour ses travaux en mécanique classique. Un newton est la force capable de communiquer à une masse de 1 kilogramme une accélération de 1 m/s² (ce qui peut se lire Un newton est la force capable de communiquer à une masse de 1 kilogramme une augmentation de vitesse de 1 mètre par seconde chaque seconde, ou encore de 3,6 kilomètre par heure par seconde) Cette unité dérivée du système international s'exprime en unités de base comme étant le kg × (m × s-2).
Le système international impose d'écrire le nom de l'unité avec une minuscule et le symbole (N) avec une majuscule.
On utilise un
dynamomètre pour mesurer les forces.
Puisque le
poids est une mesure de la force entre deux objets due à la gravité, le newton est aussi une mesure de poids, valable en un lieu donné. Par coïncidence agréable, le poids de la pomme qui selon la légende inspira Newton aurait été d'environ 1 newton, puisqu'un objet de masse de 101,94 grammes pèse 1 newton à la surface de la Terre.
Dans le langage non scientifique, on confond généralement masse (en kilogrammes) et poids (qu'on devrait exprimer en newtons). Sachant qu'une masse de 1 kg pèse environ 10 N (9,81 N si on prend la valeur usuelle de l'accélération de la pesanteur g = 9,81 m/s²), on admet généralement que 1
kilogramme-force (ancienne unité de poids qui participe de cette confusion) est pratiquement égal à 1 daN (1 décanewton, soit 10 N). Dans les unités de mesure anglo-saxonnes, la Livre-force est utilisée.

Voculabulaire +
honneur = เกียรติยศ, ชื่อเสียง
capable = สามารถ, เหมาะ
communiquer = ติดต่อ, บอกให้ทราบ, ส่งผ่าน
augmentation = การเพิ่มทวี
coïncidence = เหตุบังเอิญ (พร้อมกัน)
agréable = ที่น่าดูน่าทำ, พึงพอใจ
confusion = ความอลหม่าน, ความเข้าใจผิด, ความละอาย

:: boisson ::

Une boisson ou breuvage (qc) est un liquide que l'on boit, en premier lieu pour se désaltérer, c'est-à-dire apaiser la soif, mais souvent aussi pour le plaisir. Le terme est souvent utilisé dans un sens plus restreint de boisson alcoolisée, qui est son sens premier et qu'il a conservé dans des expressions telles que « pris de boisson », ou « débit de boissons ».
La boisson la plus naturelle est l'
eau, la seule que boivent les animaux (avec le lait chez les mammifères) et la seule qui étanche vraiment la soif. L'eau est aussi le composant essentiel de la plupart des autres boissons.
La première boisson que boivent les
êtres humains (ainsi que tous les mammifères) est le lait maternel (parfois remplacé par du lait de vache), lors de l'allaitement et jusqu'au sevrage.

Voculabulaire +
Utilise = เอามาทำประโยชน์,,เอามาใช้การ
Naturelle = ตามธรรมชาติ,ธรรมดา,ไม่เสแสร้ง,อารมณ์,ความเป็นไปตามธรรมชาติ
Mammifères = สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม
Étanche = ไม่ซึม,แน่นอัด
Plupart = แทบหมด ส่วนใหญ่

วันพฤหัสบดีที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

:: Popeye ::

Popeye est le nom d'un personnage de bande dessinée et de films d'animation, créé par Elzie Crisler Segar en 1929. Il est d'abord apparu en tant que personnage secondaire dans le comic strip The Thimble Theatre, le 17 janvier 1929 (il était un marin qui escortait le fiancé et le frère d'Olive lors d'un voyage en mer). Par la suite, il finit par avoir une série à son nom. Après la mort de Segar (qui signe avec un cigare), en 1938, la série est reprise par Tom Sims et Ralph Stein (scénarios) et après Dic Winer, Joe Musialet Bill Zaboly (dessins). À partir de 1958, c'est Bud Sagendorf qui réalise la série, laissant les strips quotidiens à Bobby London à partir de 1986.

Popeye (en anglais Popeye the Sailor), à l'origine, est un marin, mais il endosse d'autres rôles pendant les quelque 600 épisodes que compte la série d'animation. Quand il est en difficulté (en général, pour sauver sa fiancée), il ingurgite des épinards qui lui donnent la force de terrasser le méchant Brutus.
Dans la bande dessinée originale, il est en permanence doté de sa super-force. Il mange des épinards parce que c'est son plat préféré.
Popeye porte en général une chemise de marin noir et rouge à boutons jaunes, un pantalon bleu, une casquette blanche (son costume est parfois aussi blanc dans le dessin animé) et tient continuellement pincée entre ses lèvres une petite pipe en maïs. Ce n'est pas à proprement parler un modèle de superhéros : il est borgne, a des avant-bras sur-développés avec une ancre tatouée sur chacun, le menton proéminent, marche comme un canard et ses coudes ressortent. Il a un tempérament colérique, naïf et jaloux. Mais il possède aussi un cœur pur et un esprit chevaleresque, sensible. Il parle avec un fort accent de marin (dans la version française, il remplace juste certains mots par d'autres qui y ressemblent).
Le nom de Popeye vient de son œil « éclaté » (pop eye). En France, il prend d'abord le nom de Mathurin avant de récupérer son nom international.

Voculabulaire +
- marin = กะลาสี , ที่เกี่ยวกับทะเล
- fiancé = คู่หมั้น
- quotidiens = ประจำวัน , หนังสือพิมพ์รายวัน
- terrasser = ถมดินกั้น , ผลักกระแทกลงกับพื้น , โค่นลง , ทำให้ฉงน
- proprement = ย่างเรียบร้อย , อย่างเหมาะสม
- chacun = แต่ละคน , อันละ
- récupérer = เอากลับคืน , ได้กลับคืน , กู้ , ฟื้นตัว

รู้กันบ้างมั้ยว่า คุณปู่ ป๊อบอาย มีอายุเท่าไหร่แล้ว...?
ปีนี้ ป๊อปอาย ตัวการ์ตูน กะลาสีที่ทรงพลังทุกครั้งเมื่อกินผักโขมสปีแนช มีอายุครบ 78 ปี บริษัทคิงฟีเจอร์ส ซินดิเคต เจ้าของลิขสิทธิ์เตรียมเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษนี้ด้วยการทำรายการพิเศษทางโทรทัศน์ ให้ป๊อปอายเป็นการ์ตูนแบบสามมิติ

วันศุกร์ที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

วันจันทร์ที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Journée internationale des Femmes

Journée internationale des Femmes

Aller à : Navigation, Rechercher
La journée internationale des femmes est célébrée le 8 mars et trouve son origine dans les manifestations de femmes au début du XXe siècle en Europe et aux États-Unis, réclamant de meilleures conditions de travail et le droit de vote. Elle a été officialisée par les Nations unies en 1977, invitant chaque pays de la planète à célébrer une journée pour les droits des femmes.
C’est une journée de manifestations à travers le monde : l’occasion de revendiquer l'égalité, de faire un bilan sur la situation des femmes. Traditionnellement les groupes et associations de femmes militantes préparent des manifestations partout dans le monde, pour faire aboutir leurs revendications, améliorer la situation des femmes, fêter les victoires et les avancées.

Historique
Au début du XXe siècle, les ouvrières d'Amiens ont manifesté et se sont soulevées le 8 mars 1902 afin de faire valoir leurs droits. Ce sujet à polémique a forcé les Républicains à prendre des mesures. Voulant éviter l'élargissement de la manifestation, ils ont réprimé violemment la rébellion grandissante. Jamais une telle manifestation ne se reproduisit avant le 8 mars 1908.[réf. nécessaire] Quelques années plus tard, des femmes de tous pays s’unissent pour défendre leurs droits et réclamer le droit de vote. La création d’une « Journée internationale des femmes » a été proposée pour la première fois en 1910, lors de la conférence internationale des femmes socialistes, par Clara Zetkin, et s’inscrivait alors dans une perspective révolutionnaire. Dès 1911, des manifestations sont organisées en Autriche-Hongrie, Danemark, Suisse, Allemagne, puis les années suivantes en France, aux Pays-Bas, en Russie et en Suède.La date n’est tout d’abord pas fixe, et ce n’est qu’à partir de 1917, avec la grève des ouvrières de Saint-Pétersbourg, que la tradition du 8 mars se met définitivement en place. Après 1945, la Journée internationale des femmes devient une tradition dans le monde entier.
Une légende veut que l’origine du 8 mars remonte à une manifestation d’ouvrières américaines du textile en 1857, événement qui n’a en réalité jamais eu lieu. Il s'agit surement d'un clin d'œil de féministes américaines qui, dans les années 50, veulent à la fois intégrer cette journée dans le contexte états-unien et rendre un hommage à Madame Zetkin, 1857 étant sa date de naissance. L’origine de cette journée s’ancre bel et bien dans les luttes ouvrières et les nombreuses manifestations de femmes réclamant le droit de vote, de meilleures conditions de travail et l’égalité entre les hommes et les femmes, qui agitèrent l’Europe, au début du XXe siècle.
La Journée internationale des femmes est reconnue officiellement par les Nations unies en 1977, et en France en 1982.
// Quelques dates //
1910 : C'est à Copenhague, lors de la conférence internationale des femmes socialistes, que l'idée d'une « Journée internationale des Femmes » est décidée, sur une proposition de Clara Zetkin, représentante du Parti socialiste d'Allemagne.
mars 1911 : Un million de femmes manifestent en Europe.
8 mars 1913 : Des femmes russes organisent des rassemblements clandestins.
8 mars 1914 : Les femmes réclament le droit de vote en Allemagne.
8 mars 1915 : À Oslo, des femmes défendent leurs droits et réclament la paix.
8 mars 1917 : Début de la « Révolution de février » en Russie. À Saint-Pétersbourg, des ouvrières manifestent pour réclamer du pain et le retour de leurs maris partis au front.
8 mars 1921 : Lénine décrète le 8 mars journée des femmes.
1924 : La journée est célébrée en Chine.
1946 : La journée est célébrée dans les pays de l'Est.
8 mars 1947 : Léon Blum salue la place importante des femmes dans la Résistance.
8 mars 1977 : Les Nations unies officialisent la Journée Internationale des Femmes.
8 mars 1982 : Statut officiel de la Journée en France.
// Particularités locales //
Au Burkina Faso, en Colombie, au Laos et en Russie, et en Biélorussie la Journée internationale des Femmes est décrétée jour férié.

วันอังคารที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Brie-Comte-Robert

Brie-Comte-Robert est une commune de France, chef-lieu du Canton de Brie-Comte-Robert.
L'étymologie du nom de la commune est double. Brie vient du gaulois briga, le plateau, la hauteur. Le comte Robert est Robert de Dreux, frère du roi de France Louis VII, qui possédait la ville au XIIe siècle. Les habitants sont appelés les briards, les briardes.
Histoire Brie-Comte-Robert est l'ancienne capitale de la Brie française.
Il y a beaucoup de traces de l'époque gallo-romaine et du Moyen Âge, ainsi que des traces de sépultures à l'emplacement du cimetière de la ville.
En 1136, le roi de France Louis VI Le Gros donne la seigneurie de Brie à son fils cadet Robert Ier. Celui-ci fait dresser une première tour et ajoute ensuite un donjon pour protéger Paris (la ville est à 25 km de la capitale).

วันพุธที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Première Guerre mondiale

La Première Guerre mondiale fut un conflit mondial qui se tint principalement en Europe de 1914 à 1918. On la nomme « guerre mondiale », car c'est le premier conflit armé qui impliqua autant de pays à travers le monde. Cependant, antérieurement au début de la Seconde Guerre mondiale, on l'appelait « la Grande Guerre », « la Guerre des Guerres » ou encore la « Der des Ders ».

วันเสาร์ที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Voculabulaire Anglais-Français

Voculabulaire Anglais-Français

A - - +

À l'extérieur ou sur terrain adverse : away
Abri des joueurs (côté troisième base) : (third base) dugout
Accorder un but sur balle : to issue a walk
Accorder une base : to award a base
Accorder une base automatique à un joueur : to walk a batter
Acquérir une base : make a base (to)
Alourdisseur de batte : a donut or on-deck bat weight
Alterner ou interchanger : to platoon
Amorti ou coup amorti ou coup retenu : a bunt
Amorti interdit : foul bunt
Amorti sacrifice : sacrifice bunt
Amortir (la balle) : to bunt (the ball)
Annoncer (une balle ou une prise): to call (a ball or a strike)
Appel sur balle morte : dead ball appeal
Arbitre-en-chef : umpire-in-chief or plate umpire
Arbitre sur base : base umpire
« Arrêt ! » ou « Temps mort ! » : "Time!"
Arrêt-court : 'shortstop'
Arrêt de volée : catch on the fly
As : ace
Assistance : assist
Attaque : offence
Attaquer ou frapper : to bat
Atteindre la première base : to reach first base
Atteindre une base ou gagner une base : to advance a base
Attraper : to catch
Attraper ou défendre ou jouer en défense ou ramasser ou relayer : to field
Attraper régulier ou attraper légal : valid catch
Attraper une balle de volée : to catch a ball on the fly
Avance : a lead
Avancer : to advance
Axe de vision : line of

วันอังคารที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

2 Days...

2 วัน....แห่งการสอบ !!!!!
มากมายเลยอ่ะ ทำมึนกันเลยทีเดียว
ที่สอบก็มี 9 วิชา
คณิต วิทย์ สุขศึกษา ศิลปะนิยม ไทย อังกฤษหลัก
อังกฤษฟังพูด อังกฤษอ่านเขียน ฝรั่งเศส
เหอะๆ แต่ล่ะวิชาก็นะ มึนๆ
แต่สอบเสร็จก็โล่งเลยทีเดียว
พอสอบเสร็จก็เลยไปกินไอติมกะพู่ ย้อยแล้วก็ป.แป้ง
แอบเคืองพนักงานนิดหน่อย บริการไม่ดี ชิชะ
แล้วก็เดินตลาดนัดซื้อของนิดหน่อยแล้วก็กลับบ้าน
วันนี้ก็เหนื่อยอีกหนึ่งวัน... เหอะๆ

วันจันทร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

LITTLE TWIN STARS

Les "Little Twin Stars" sont deux des nombreux personnages créés par la société japonaise Sanrio. Leur noms sont Kiki et Lala. Ce sont deux petites étoiles jumelles qui explorent l'univers. Ils s'interrogent sur la vie sur Terre, planète sur laquelle leur a été conté beaucoup d'histoires. Avec la permission de Mère-Etoile et Père-Etoile ils font un voyage sur cette planète, guidés par la petite baguette magique de Lala. Depuis qu'ils sont sur Terre ils apportent bonheur et gaieté autour d'eux.

Profil
Nom: Kiki et Lala
Anniversaire: 24 décembre 1976
Lieu de naissance: Planète de la compassion
Passe-temps favori: Kiki aime explorer la galaxie et à l'esprit inventeur. Lala aime dessiner, écrire des poèmes, faire la cuisine.
Meilleurs amis: Leurs amis sont le soleil, la lune, les étoiles, les nuages, les animaux, ou encore multitude de fééries.
Description: Kiki est le garçon aux cheveux bleus et Lala la fille aux cheveux roses.

วันพุธที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เอ กับ แนน

เอกับแนน อืม...วาเลนไทน์อีกแล้วสินะ"
แนนเงยหน้าขึ้นสบตาจอยพลางยิ้มพูดเบาๆ วาเลนไทน์...14 กุมภาพันธ์
วันที่กุหลาบทั่วโลกบานพร้อมกัน วันที่ความรัก งอกงามได้เร็วกว่าทุกวัน
และเป็นวันที่กามเทพแผงศร ให้หลายๆคู่ได้สมหวัง
แต่คงไม่ใช่แนน...เธอคนนี้แน่นอน
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ความแออัดและตึกสูงในเมืองหลวง...
มีหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆกำลังก่อตัวขึ้น ก่อตัวขึ้นพร้อมกับความรัก ความรักของเขาและเธอ
"เธอๆ มาเล่นก่อกองทรายด้วยกันมั้ย" เด็กผู้ชายตัวเล็กๆหน้าตามอมแมมกำลังนั่งเล่นบนกองทรายสูงท่วมหัว
"เธอชื่ออะไร เราชื่อเอ" เด็กผู้ชายแนะนำตัวเองก่อน พลางกระโดดลงมาจากกองทราย
"ฉันชื่อแนน" เด็กผู้หญิงแนะนำตัวเองบ้างพลางค่อยๆนั่งลง ทั้งคู่ค่อยๆก่อกองทราย
เด็กผู้หญิงวิ่งไปเอาน้ำมารดให้ทรายเปียกชุ่ม
เด็กผู้ชายค่อยๆเอาเศษไม้เกลี่ยให้ดินทรายที่เปียกค่อยๆก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง
จนได้เค้าโครงของปราสาททรายที่ต้องการ
"เอ เดี๋ยวแนนประดับปราสาททรายเองนะ" เด็กผู้หญิงวิ่งมาพร้อมกับก้อนหินสีสวยในกำมือ
วางลงข้างๆปราสาททรายที่กำลังจะอวดโฉมออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
"แนนๆ ตรงนี้เป็นห้องของแนนนะ ห้องของเจ้าหญิงงัย ส่วนตรงนี้เป็นห้องของเอ......
อันนี้เป็นห้องประชุมนะ"
เอพูดพลางชี้ไปเรื่อยๆบนปราสาททราย.....กองทรายแห่งความฝัน
"เอๆ ต้องทำสวนดอกไม้ตรงนี้ด้วย เจ้าหญิงต้องมีสวนดอกไม้นะ"
แนนพูดแย้งขึ้นพลางชี้ไปตรงด้านหน้าปราสาททราย
"แนนอยากได้สวนอะไร....อยากได้ดอกไม้อะไร" เอพูด
เงยหน้าขึ้นมองหน้าแนนอย่างใจจดใจจ่อ
"เอาดอกอะไรดี...เอ ช่วยแนนคิดหน่อยสิ" แนนมองหน้าเอด้วยแววตาใสซื่อ
เด็กตัวเล็กๆสองคนกำลังสวมบทเจ้าหญิงและเจ้าชายกันอยู่
"อืม...เจ้าหญิงต้องเหมาะกับดอกกุหลาบนะ" เอพูดพลางทำท่าคิด
"ตกลงๆ สวนดอกกุหลาบนะ เราจะทำสวนดอกกุหลาบที่ลานหน้าปราสาทของเรา"
แนนพูดพลางยิ้ม ค่อยๆเกลี่ยทรายให้เรียบเพื่อทำเป็นลาน....
ทั้งคู่สร้างปราสาททรายแห่งความฝันของพวกเขาอยู่นาน....นานจนกระทั่ง
"เอ ไปได้แล้ว พ่อเสร็จงานแล้วลูก" เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรเดินมาสะกิดลูกชายตัวเองเบาๆ
"พ่อๆ ให้เอเล่นกันแนนอีกแป๊บนะ" ลูกชายออดอ้อนพ่อของตัวเอง
"หน่า ไปได้แล้ว เดี๋ยววันหลังมาเล่นใหม่ก็ได้นี่" พ่อของเขานั่งยองลง
อธิบายให้ลูกชายฟังพลางลูบหัวเบาๆ
"ตกลงครับ เดี๋ยวให้เอบอกแนนก่อนนะ" เด็กผู้ชายตัวมอมแมมพูดพลางวิ่งกลับหลังไปหาเพื่อนของเขา
"แนน เดี๋ยวพรุ่งนี้เอมาหานะ พรุ่งนี้เอจะเอาดอกกุหลาบมา มาทำสวนกุหลาบให้แนนนะ"
เอพูดพลางชี้นิ้วลงตรงลานหน้าปราสาททราย
"ตกลงๆ พรุ่งนี้เจอกันนะ" แนนยิ้มพูดพลางพยักหน้า
เด็กสองคนเล่นกันช่างดูน่ารักเสียนี่กระไร ทุกวัน เอและแนนจะมานั่งก่อปราสาททรายด้วยกัน
ก่อสร้างความหวังบนมิตรภาพและความรัก ระหว่างลูกชายเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรและลูกสาวนายช่างใหญ่
"แนนๆ เมื่อวานแม่เราสอนให้เราเขียนหนังสือด้วยแหละ"
เด็กผู้ชายเสื้อผ้ามอมแมมคลุกฝุ่นและทรายเปียกเงยหน้าขึ้นมองเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่วิ่งเข้ามา
"ไหนๆ แม่ของเอสอนเขียนคำว่าอะไร" แนนถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
"แม่เอสอนเขียนหลายคำ แต่เอจำได้คำเดียว" เอพูดพลางทำเสียงเศร้าๆ เอคงอยากจำทุกคำมาเขียนให้แนนดู
"เอจำคำไหนได้ เขียนให้แนนดูหน่อยสิ" แนนพูด เอค่อยๆก้มลงข้างๆกองทราย
หยิบเศษไม้เล็กๆปักลงบนผืนทรายที่เพิ่งผ่านฝนเมื่อคืนแล้วตวัดเป็นจังหวะเพียงชั่วครู่
ปรากฎเป็นตัวอักขระลายเส้นบิดพลิ้ว คำว่า รัก ปรากฎบนผืนทรายราบเรียบที่เกาะตัวเหนียวด้วยหยดน้ำ
เด็กตัวเล็กๆสองคนยืนมองด้วยความตื่นเต้น "อ่านว่าอะไร เอ"
แนนพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นและแปลกใจ "อ่านว่า รัก" เอพูดกระซิบข้างหูแนนเบาๆ
"เหรอ อ่านว่ารักเหรอ....สอนแนนเขียนหน่อยสิ นะๆๆๆ" แนนพูดพลางเกาะแขนออดอ้อนเอ
"มานี่ๆ เอจะสอน" เอพูดพลางหยิบเศษไม้เล็กๆให้แนนจับไว้
มือเอและมือแนนจับประสานกัน ตวัดบนกองทรายให้เกิดเป็นอักขระบิดพริ้ว
"นี่ไง แนนเขียนได้แล้ว ดีใจจังเลย" แนนพูดพลางหันหลังกลับไปกอดเอด้วยความดีใจ
"มันแปลว่าอะไรเหรอ เอ" แนนยังคงสงสัยไม่หายในความหมายของมัน
"เอก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แม่บอกว่ามันมีความหมายมากนะ มากจนอธิบายไม่ได้"
ใช่สิ...ความหมายมันคงมากมายเกินกว่าเด็กห้าขวบจะรู้ หรือแม้แต่คนบางคนใช้เวลาทั้งชีวิต ก็ไม่อาจรู้ว่าคำว่ารักคืออะไร....
"สักวัน เราจะรู้ความหมายมัน แม่เอบอก" เอพูดพลางหันไปมองแนน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ยืนข้างๆตน
"อืม สักวันนะ" แนนพูดพลางหันมายิ้มให้กับเอ ใช่ สักวันแนนและเอคงรู้ความหมายของมัน......
"โอ๊ย...เจ็บ" เด็กผู้หญิงผมเปียพูดขึ้นพลางจับผมเปียของตัวเองด้วยสีหน้าเซ็งๆ
เธอโดนเพื่อนแกล้งดึงเปียผมของเธอประจำ
"ใครดึงผมเปียแนน" เด็กผู้ชายนั่งข้างๆเธอหันขวับกลับไปมองแทบจะพร้อมกันกับเจ้าของผมเปีย
เห็นเด็กผู้ชายวัยเดียวกันสามคนนั่งอยู่ข้างหลังหัวเราะกันคิกคักพลางชี้นิ้วมาที่แนน
"ทำไมๆ ข้าดึงเอง จะทำไม" หนึ่งในเด็กสามคนพูดพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
"แกล้งผู้หญิง หน้าตัวเมีย" เอยืนขึ้นชี้หน้าด่า "แล้วจะทำไม" เด็กทั้งสามกรูกันมายืนหน้าเอ
ถีบโต๊ะเรียนกระจัดกระจายคนละทิศคนละทาง
"ไม่เอาเอ อย่าไปยุ่งกับพวกนั้น" แนนพูดพลางเกาะแขนเอไว้แน่น
เอเอามือจับแขนแนนออกจากตัวทันที... ปั้ง...หนึ่งหมัดปล่อยออกไป
คล้ายเป็นการประกาศสงครามของคนสองกลุ่ม ทั้งสามคนกรูเข้ามารุมเอคล้ายหมาป่ากำลังรุมขยุ้มเหยื่อ
โต๊ะเรียนที่กระจัดกระจาย ข้าวของทั้งของเอและแนนตกกระจายเกลื่อนกลาดคนละทิศคนละทาง
"หยุด!!" เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง...มีอำนาจมากพอจะทำให้ทั้งสี่คนหยุดการตะลุมบอนกัน
"พวกเธอทำอะไรกัน อันธพาลกันใหญ่แล้วนะ" ครูประจำชั้นเข้ามาห้ามทัพหมาป่าขยุ้มเหยื่อ
แม้จะห้ามทัพได้ แต่ก็ได้ปรากฎเลือดไหลซิบๆที่คิ้วและโหนกแก้มของเอ
"เอ เจ็บมั้ย" แนนวิ่งเข้ามาทันทีที่ครูประจำชั้นเดินออกไป
"ไม่เจ็บหรอก" เอพูดพลางก้มหน้าหลบสายตาแนน
"ไม่เจ็บอะไร เลือดไหลใหญ่แล้ว ไปห้องพยาบาลนะ แนนจะทำแผลให้"
แนนพูดพลางดึงตัวเอออกจากห้องเรียนไป เลือดไหลเป็นทางลงมาจากคิ้วและโหนกแก้มเปรอะเปื้อนเสื้อนักเรียนสีขาวของเอ
"โอ๊ย...เจ็บ อย่าจับสิ" เอพูดโพล่งขึ้นขณะที่แนนกำลังกดดูความลึกของบาดแผล... แต่แนนกลับยิ้มออก
"โอ๊ย แสบ" เอโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทันทีเมื่อแนนค่อยๆกดสำลีชุบแอลกอฮอลงบนแผลของเอ
"แสบก็ทนสิ อยากหาเรื่องเค้านี่นา" แนนพูดพลางยิ้ม ค่อยๆเช็ดแผลบนใบหน้าของเอช้าๆอย่างระมัดระวัง
ทุกครั้งที่มีคนแกล้งแนน เอจะยืดอกปกป้องแนนเสมอ แม้จะต้องเจ็บตัวหรือตกอยู่ในภาวะเป็นรองก็ตามที....
"แนนๆ แฮปวาเลนไทน์นะ" ชายหนุ่มวัยรุ่นแต่งตัวภูมิฐานพูดห้วนๆพลางยืนกุหลาบแดงให้กับมือหญิงสาว
"อีตาบ๊อง อย่ามาทำหวานใส่ฉันหน่า" แนนพูดกวนๆพลางยิ้ม เอได้แต่ยืนม้วนด้วยความอาย
"อ้าว ก็วันนี้วันวาเลนไทน์ ทำหวานให้เจ้าหญิงของตัวเองสักหน่อยจะเป็นอะไรไป" เอพูดพลางยิ้ม
ทำไมหนุ่มวัยรุ่นเวลาอายนี่ดูตลกดีแท้ ทั้งมือทั้งแขนแทบจะไม่มีที่เก็บ
สงสัยถ้าแทรกแผ่นดินหนีได้คงหนีหายไปแล้ว
"หวานกับเค้าก็เป็นเหรอ เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้นนะ" แนนพูดพลางยื่นมือไปหยิกจมูกเอด้วยความเขิน
เอยังคงพยายามสำรวมอาการเขินอยู่
"เอรักแนนนะ" เอพูดพลางจับมือแนนขึ้นมาเขียนรูปหัวใจไว้ที่ฝ่ามือ
ตอนนี้แนนเริ่มหน้าแดงขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าตัวเอง
"เหรอ....เขียนคำว่ารักตรงนี้ ดูไม่ซึ้งเลย" แนนพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่เลิกแหย่เอ
"เดี๋ยวสักวัน เอจะเขียนไว้ตรงหัวใจแนนเลยนะ"
เอพูดประหม่า มองหน้าแนนพลางเอื้อมมือดึงตัวแนนเข้ามาโอบกอดไว้แน่น....สักวัน เอจะเขียนคำว่ารักไว้ในหัวใจแนนเลย.....
ใต้ต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศร่มรื่น มีโต๊ะหินอ่อนวางเรียงรายเป็นแนว มีนักศึกษาจับกลุ่ม บ้างคุยกัน บ้างอ่านหนังสือ บ้างหยอกล้อกินขนมกัน...
"เอ เย็นนี้แนนไปทำวิทยานิพนธ์กับเพื่อนนะ" แนนพูดพลางเก็บหนังสือ
"ไปทำวิทยานิพนธ์กับใคร" เอเงยหน้าขึ้นมองแนนทันที
"ไปกับกิ๊ฟกับฝนหนะ นะๆๆๆ" แนนพูดพลางเดินไปนั่งข้างๆเอ เขย่าแขนเหมือนเด็กอ้อนวอนผู้ใหญ่
"ให้เอไปส่งมั้ย เอว่างนะ" เอพูดพลางยิ้ม ลูบผมแนนเบาๆ
"ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฝนเอารถมา" แนนพูดพลางซบหน้าลงบนบ่าของเอ
"นี่ แล้วกินข้าวเสร็จแล้วอย่าลืมกินยาล่ะ เข้าใจมั้ย กลับถึงบ้านก็อย่าลืมโทรมาบอกด้วย"
เอพูดพลางจ้องหน้าแนนด้วยสีหน้าจริงจัง
"ค่ะ หัวหน้า สั่งจริงๆเลย" แนนพูดพลางยิ้ม เอามือหยิกจมูกเอด้วยความเขิน
"กิ๊ฟๆ แฟนแกเป็นงัยบ้าง" ฝนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในรถ
ขณะที่ตนอยู่หลังพวงมาลัย "ปวดหัวสุดๆ เจ้าชู้เป็นบ้าเลย" กิ๊ฟพูดปัดๆคล้ายกับไม่ค่อยพอใจในแฟนตัวเองนัก
"ทำไมไม่เลิกๆไปสิ จะได้ไม่กลุ้ม" ฝนเสนอความเห็น มองหน้ากิ๊ฟผ่านกระจกมองหลัง "หน่า....ให้โอกาสสักครั้ง"
กิ๊ฟพูดพลางซบหน้าลงที่กระจกหันหน้ามองออกนอกรถด้วยอาการเอือมระอา
"โอกาสสักครั้ง รอบที่ล้าน" เสียงหัวเราะดังขึ้นเกือบพร้อมกันทั้งรถ "แล้วแนนล่ะ แหม...เจ้าชายเธอเอาใจเธอดีนะ
" ฝนพูดขึ้นพลางหันไปมองแนนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ "โอ๊ย รายนั้นไม่รู้กี่ปีแล้ว ยังจับไม่ได้สักทีว่ามีกิ๊กเก็บไว้ที่ไหน"
แนนพูดยิ้มพลางหันไปมองหน้าฝน
"แปลได้สองอย่าง...ถ้าแฟนเธอไม่รักเธอคนเดียว เค้าก็เก่งมากที่หลอกเธอมานานหลายปี"
เสียงหัวเราะดังขึ้นแทบจะพร้อมกันทั่วรถ
"เอี๊ยยดดด....."
เสียงเบรกลากล้อดังยาวจากด้านข้างตัวรถ คนทั้งรถหันไปมองแทบจะพร้อมกัน ร
ถบรรทุกฝ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนรถเก๋งของฝนอย่างจัง แรงอัดทำให้กระจกทุกบานแตกละเอียด
ห้องโดยสารด้านหน้าฝั่งคนนั่งยุบเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด.... ร่างไร้สติของแนนยังคงสงบนิ่งติดอยู่ในรถเก๋งขนาดสองตอน
มัจจุราชอาจฉุดวิญญาณเธอออกจากร่างได้ทุกเมื่อ
"แนนๆ"
เสียงกระซิบเบาๆดังข้างหู ทำให้แนนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมา
"อยู่ไหน....โอ๊ย เจ็บ" แนนค่อยๆอ้าปากพูด แต่ไม่ชัดนัก
เฝือกขาวถูกแต่งแต้มถามร่างกายของแนนคล้ายกับเป็นเครื่องประดับ
"ใจเย็นๆ แนน เธอสลบไปสองเดือน" .....สองเดือน สองเดือน แนนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง. ...
ฝนค่อยๆอธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แนนฟัง.....
"แล้ว สรุปว่าฉันเจ็บคนเดียวใช่มั้ย" แนนพยายามพูด เสียงพูดของแนนแทบจะไม่ได้ยิน
"อืม..." ฝนพยักหน้าเบาๆ กำมือแนนไว้นิ่งๆ
"เอ ล่ะ เออยู่ไหน" แนนเพิ่งนึกขึ้นได้ แฟนเธออยู่ไหน
"เอมาหาเธอครั้งเดียว วันแรกที่ชน แล้วหายไปเลย" ฝนพูดพลางลูบหัวแนนเบาๆ
"ไม่เป็นไรนะ ไม่มีเอ เราก็อยู่กันได้ จริงมั้ยเพื่อน" ฝนพยายามพูดปลอบใจแนน
"อืม..." น้ำตาค่อยๆกลั่นตัวหยดลงมาจากนัยน์ตาของแนน คำพูดของฝนตอนคุยกันในรถคงจะเป็นความจริง....
เขาเก่งมากจริงๆ เก่งมากที่หลอกแนนมาหลายปี เก่งมากที่หลอกว่ามีแนนคนเดียว.....
ทำไมผู้ชายทั้งโลกถึงนิสัยเหมือนกันหมดเลย เสียดายเวลาที่อยู่ด้วยกัน
เสียดายความรักที่มอบให้.....เสียดาย เสียดาย เสียดาย
"คุณแนน ค่อยๆก้าวนะครับ ช้าๆ" บุรุษพยาบาลพยายามพยุงแนนขึ้นเดิน
แนนยังคงไม่หายเจ็บดี ยังคงต้องทำการกายภาพบำบัดอีก
"ระวังล้มนะครับ จับผมไว้ดีๆ"
บุรุษพยาบาลเดินช้าๆเพื่อให้แนนเกาะแขนเดินตามช้าๆ..... ทำไมบุรุษพยาบาลถึงไม่ใช่เอนะ....ทำไม ทำไม ทำไม
"คุณบุรุษพยาบาลค่ะ นี่ฉันสลบไปนานถึงขั้นต้องกายภาพบำบัดกันเลยเหรอ" แนนถามด้วยความสงสัย
"โห คุณไม่ได้เดินสามเดือนนี่ มันนานนะครับ" บุรุษพยาบาลตอบด้วยความสุภาพ
"จะว่าอะไรมั้ยค่ะ ถ้าจะถามชื่อเล่น คือถ้าเรียกว่าคุณบุรุษพยาบาล เกรงว่ามันจะยาวไป" แนนพูดพลางยิ้ม
"ผมชื่อ กอล์ฟ ครับ" บุรุษพยาบาลตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงเรียบๆ นับจากวันนั้น แนนและกอล์ฟเริ่มสนิทกัน
ทุกเย็นกอล์ฟจะพาแนนออกไปทำกายภาพบำบัด ไม่นานแนนก็สามารถเดินเองได้และออกจากโรงพยาบาลในที่สุด....
"คุณแนนค่ะ น้ำดื่มค่ะ" พยาบาลชุดขาวเดินถือแก้วน้ำมาวางข้างๆเธอ ขณะเธอนั่งรอกอล์ฟที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาล
เธอได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้ด้วยไมตรี
"กอล์ฟๆ ไปกินข้าวกัน" แนนพูดทันทีที่เห็นกอล์ฟเดินออกมา
มีพยาบาลหลายคนยกมือไหว้แนน แนนก็ได้แต่รับไหว้ด้วยสีหน้างงเล็กน้อย
"ไปสิครับ" กอล์ฟพูดพลางค้อมตัวลงผายมือไปที่ห้องอาหารของทางโรงพยาบาล
ดูกอล์ฟค่อนข้างสุภาพและให้เกียรติแนนมาก....มากจนน่าแปลกใจ
ท่าทางโรงพยาบาลนี้จะเข้มงวดเรื่องมารยาทกับพยาบาลมาก
แนนและกอล์ฟสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ....จนบางครั้งแนนก็อยากให้กอล์ฟมาแทนที่เอ
บ่อยครั้งที่แนนคิดถึงเอ เอก็ไม่โทรมา บ่อยครั้งที่แนนอยากคุยกับเอ
เอก็ไม่ติดต่อมา บ่อยครั้งที่แนนนั่งเหงา อยากให้เอนั่งเป็นเพื่อน
แต่เอก็ไม่ปรากฎตัว เอ....เอ....เอ เอหายไปไหน ไหนล่ะ หัวใจที่เอบอกว่าจะให้แนน ไหนล่ะ
หัวใจที่เอเคยเขียนไว้บนฝ่ามือแนน มันคงหายไปแล้ว....หายไปพร้อมกับเอ
หายไปพร้อมกับผู้ชายโกหก....ผู้ชายเจ้าชู้ ทำไมผู้ชายเหมือนกันทั้งโลก.....
ทำไม ทำไม ทำไม ใกล้วาเลนไทน์เข้าไปทุกที ปีนี้ไม่เหมือนกับปีก่อนๆ
ไม่มีเอคอยให้ดอกกุหลาบแดง ไม่มีอีตาบ๊องทำท่าเขินอายให้ดู
"แนนๆ วาเลนไทน์ปีนี้ ว่างหรือเปล่าครับ" เสียงกอล์ฟดังตามสายโทรศัพท์
"ว่างค่ะ ทำไมค่ะ" แนนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"พอดีผมมีของจะให้แนนนะครับ เดี๋ยววันวาเลนไทน์บ่ายสามโมงเจอกันที่สยามนะครับ" กอล์ฟเสนอความเห็น
"ตกลงค่ะ" แนนพูดพลางกดวางสาย สีหน้าแววตาเปี่ยมด้วยความหวัง....
หวังว่ากอล์ฟคงจะมาแทนที่เอได้เสียที
วันวาเลนไทน์ วันที่กุหลาบแดงบานสะพรั่งพร้อมกันทั่วโลก
แม้ในลานที่สยามหรือที่วัยรุ่นเรียกกันสั้นๆว่า "เซนเตอร์พอยต์"
ยังถูกละเลงด้วยดอกกุหลาบสีแดง...นักเรียน นักศึกษาต่างถือกุหลาบแดงในมือเดินกันขวักไขว่ทั่วลาน
"ขอโทษค่ะ มาสาย" แนนพูดพลางยิ้มก่อนดึงเก้าอี้ออกมานั่ง
"ไม่เป็นอะไรครับ" กอล์ฟพูดพลางยิ้ม
"อืม...ว่าแต่มีอะไรจะให้แนนเหรอ" แนนพูดพลางจ้องตากอล์ฟ...หากกอล์ฟมีพิรุธ แนนจะจับได้ทันที
"อันนี้ของแนนนะครับ" ดอกกุหลาบสีแดงถูกดึงออกมาจากถุงอย่างช้าๆ วางลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล
"หมายความว่ายังไงค่ะ จะขอหัวใจแนนเหรอ" แนนพูดติดตลกพลางยิ้ม เธอคิดว่าเธออ่านเกมส์ออกหมด
"ผมคงไม่กล้าขอหัวใจแนนหรอก" กอล์ฟพูดพลางยิ้ม แต่กลับทำให้แนนงง
"อ้าว...แล้วกุหลาบสีแดงนี่... " ไม่ทันแนนจะพูดจบ กอล์ฟต่อคำพูดของเขาทันที
"ผมไม่กล้าขอหัวใจแนนหรอกครับ เพราะหัวใจของแนนไม่ใช่ของแนน"
ปั้ง... เหมือนมีแผ่นเหล็กหนาหลายฟุตทุบลงกลางศีรษะ
แนนเริ่มงงกับความหมายขึ้นไปทุกที...มันแปลว่าอะไร???
"หัวใจของคุณ คือเจ้าของกุหลาบดอกนี้" กอล์ฟพูดต่อ....แนนทำหน้างงๆไม่เข้าใจความหมายแม้แต่นิดเดียว
"ตอนคุณประสบอุบัติเหตุเข้ามาที่โรงพยาบาล คุณเสียเลือดมาก...หัวใจคุณเต้นอ่อนจนแทบจะล้มเหลว
พวกผมและหมอพยายามเยียวยาจนถึงที่สุด" กอล์ฟเริ่มอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น.....เรื่องที่แนนไม่เคยรู้
"มีผู้ชายคนนึง วิ่งเข้ามาบอกว่าเป็นแฟนคุณ เขาบอกให้ช่วยคุณให้ได้ เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า...เขายอมจ่ายไม่อั้น
ไม่ว่าทางเราจะขออะไร เขาจะจัดหาให้หมด..... คำพูดของเขาทำให้ผมประทับใจมาก"
กอล์ฟหยุดพูดชั่วครู่...แนนรู้ทันทีว่ากอล์ฟหมายถึงเอ
"ผมยอมแลกทุกอย่างกับชีวิตเธอ - เขายอมแลกทุกอย่างกับชีวิตคุณ"
กอล์ฟพูดพลางจ้องหน้าแนนนิ่ง แต่แนนยังคงทำสีหน้างงอยู่ "เ
ขายอมทุกอย่างจริงๆ ทีแรกหมอบอกว่าทางเราหาเลือดไม่พอให้คุณ เขาวิ่งตามหาเลือดให้คุณไปทั่วทุกโรงพยาบาล
แต่กลับไม่พบว่ามีเลือดถุงไหนที่ตรงกับเลือดคุณ"
กอล์ฟพูดด้วยน้ำเสียงปกติ สายตามองไร้จุดหมาย
"สุดท้ายเราตรวจเลือดของเขา พบว่าตรงกับของคุณพอดี เขาบอกให้ทางเราเอาไป
เอาไปให้คุณ....ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะเป็นอย่างไร ขอแค่คุณปลอดภัยก็พอ"
กอล์ฟหยุดพูดชั่วครู่พยายามกลั้นน้ำตา.... แต่นัยน์ตาแนนเริ่มเจิ่งนองไปด้วยน้ำใสๆ
"ต่อมา...ตอนพวกผมถ่ายเลือดให้คุณ หัวใจคุณเต้นอ่อนลงเรื่อยๆ
จนหมอต้องเดินออกไปบอกให้เขาทำใจ.....ทำใจว่าเขาจะต้องเสียคุณ"
กอล์ฟพยายามเล่าต่อไปเรื่อยๆด้วยน้ำเสียงปกติ นัยน์ตาแนนเริ่มแดงก่ำ "
เขาถามหมอว่า เธอต้องการอะไร....." ใช่ เอถามหมอว่าแนนต้องการอะไร
"เธอต้องการ หัวใจครับ หัวใจเธอเต้นไม่ปกติ การสูบฉีดล้มเหลว เราหาเลือดให้เธอช้าไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอต้องการคือ หัวใจ"
หมอหวังว่าเอคงจะเลิกหวังในตัวแนน...หยุดเล่นเกมกับมัจจุราชเสียที
"ตกลง ผมหาให้ "เขาตอบสั้นๆโดยไม่ลังเลเลย
" ตกลงผมหาให้....เอจะหาหัวใจให้แนน ทั้งๆที่รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้... เขาไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวเพื่อจะทำให้เธอ
"คุณรู้มั้ย ว่าคำพูดของเขาทำให้ผมและหมออึ้งกันไปหมด
โรงพยาบาลยังหาหัวใจให้คุณไม่ได้ เขาจะมีปัญญาที่ไหนหาหัวใจให้คุณได้"
กอล์ฟพูดพลางพยายามหลบสายตาแนน....ตอนนี้กอล์ฟเริ่มกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว
"เขาถามเลขบัญชีของโรงพยาบาลกับหมอ....เขาไม่ได้โอนเงินมาซื้อหัวใจเทียมให้คุณ
แต่เขาโอนมาตั้งมูลนิธิการกุศลให้โรงพยาบาล มูลนิธิช่วยเหลือผู้ป่วยด้านหัวใจเทียม "นานา"
คุณดูดีๆ คำว่า แนน และ เอ ถ้าเขียนติดกัน มันคือ "นานา" นี่คือความปรารถนาสุดท้ายของเขา
เขาอยากให้ตัวเขาเองเป็นคนสุดท้ายที่ไม่ได้อยู่กับคนที่เขารัก... เพราะไม่มีหัวใจเทียมสำรอง"
เปี๊ยง....แนนโดนสะกิดต่อมความจำเข้าเต็มเปา...
เธอเคยเห็นป้ายมูลนิธิขึ้นหราที่โรงพยาบาล แต่เธอไม่เคยเฉลียวใจสักนิด...มิน่า
ทำไมหมอและพยาบาลต้องให้เกียรติและดูแลเธอดีเสียจนน่าแปลกใจ
ทั้งๆที่เธอไม่มีส่วนได้เสียกับโรงพยาบาลแม้แต่บาทเดียว
"ทันทีที่มีการยืนยันว่าเงินเข้าบัญชีทางโรงพยาบาล เขาก็ยิงตัวตายในห้องน้ำโรงพยาบาลครับ
ทิ้งโน้ตไว้ว่า มอบหัวใจให้เธอ - เขามอบหัวใจของเขาให้คุณ" ทันทีที่กอล์ฟพูดจบ
แนนปล่อยโฮออกมาเหมือนไม่มีใครอยู่ข้างๆ โต๊ะรอบข้างหันมามองแนนเป็นตาเดียว....
เอคือเจ้าของหัวใจ หัวใจที่อยู่ในร่างของแนน
"เขายอมแลกทุกอย่างกับคุณจริงๆ"
กอล์ฟพูดพลางวางของทั้งหมดที่เอเคยฝากไว้กับทางโรงพยาบาลคืนให้กับแนน
มีทั้งเครื่องเล่นเทป ม้วนเทป จดหมาย.....
"ผมคงไม่กล้าขอหัวใจคุณหรอก หัวใจคุณเป็นของเขา หัวใจเขาเป็นของคุณ"
ใช่ หัวใจเอเป็นของแนน เป็นของแนนจริงๆ...ตอนนี้หัวใจแนนตายไปเรียบร้อยแล้ว
ตายไปพร้อมกับเอ ตายไปพร้อมกับผู้ชายที่ยอมทุกอย่างเพื่อเธอ
"กุหลาบดอกนี้ เขาบอกผมก่อนไปเข้าห้องน้ำว่า...วาเลนไทน์ที่จะถึง
รบกวนซื้อกุหลาบสีแดงให้คุณสักดอก ขอแค่ดอกเดียวก็พอ... เป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายของเขา"
กอล์ฟพูดพลางเช็ดน้ำตา นั่งนิ่งๆสักพักก่อนลุกจากโต๊ะไป....
ทิ้งแนนนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง "เอรักแนนนะ" "เอรักแนนนะ" "เอรักแนนนะ"
คำพูดซ้ำๆดังมาจากเครื่องเล่นเทป เป็นคำพูดเดียวกันที่พูดกันซ้ำ
โดยไม่มีการตัดต่อทั้งเทป.....เทป 120 นาทีโดยมีเพลงประกอบเบาๆ
แนนค่อยๆคลี่จดหมายออกอ่าน....จดหมายที่มีเนื้อความเพียงบรรทัดเดียว
"หัวใจเอ...เขียนคำว่ารักไว้ เขียนให้แนนคนเดียว"

วันอังคารที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เพื่อนเรา เพื่นแท้ หรือเพื่อนทั่วไป??

ทุกคนมีเพื่อน
แล้วเพื่อนเราล่ะ
เพื่อนแท้หรือเปล่า
แล้วเราล่ะเป็นเพื่อนแท้ของใครบ้าง
.............
เพื่อนทั่วไปไม่เคยเห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาคุณ
เพื่อนทั่วไปจะไม่รู้ชื่อพ่อแม่ของคุณ
เพื่อนแท้จะมีเบอร์ของท่านไว้ในสมุดจดโทรศัพท์ของเขา
เพื่อนทั่วไปจะถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้จะมาแต่วันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไปอยากคุยกับคุณถึงปัญหาของเขา
เพื่อนแท้อยากช่วยปัดเป่าปัญหาของคุณออกไป
เพื่อนทั่วไปจะพิศวงในเรื่องโรแมนติกเก่าๆ
เพื่อนแท้สามารถเอาเรื่องนี้มาอำคุณได้
เพื่อนทั่วไปเวลามาเยี่ยมคุณจะทำตัวเยี่ยงแขก
เพื่อนแท้จะตรงรี่ไปเปิดตู้เย็นและบริการตนเอง
เพื่อนทั่วไปคิดว่ามิตรภาพจบลงเมื่อเกิดการทะเลาะถกเถียง
เพื่อนแท้รู้ดีว่านั่นจะมิใช่มิตรภาพ จนกว่าคุณได้เคยวิวาทกัน
เพื่อนทั่วไปคาดหวังให้คุณอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้คาดหวังที่จะอยู่เคียงคุณตลอดไป
..............................................

วันพุธที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เสน่ห์....ของความแตกต่าง

เรื่องของคน 2 คน …..ที่แตกต่างกันเกือบทุกด้าน
ยกเว้น.....ความรู้สึกที่มีให้กัน
เขาชอบดำ.......เธอชอบขาว
เขาชอบเพลงใต้ดิน........เธอฟังเพลงสบายๆ
ขาตัวสูง........เธอไม่สูง
เขาเรียนไม่เก่ง........เธอท็อปเกือบทุกวิชา
เขาเก่งกีฬา.........เธอไม่เคยวิ่งทันใครเค้า
เขาชอบเสียงเครื่องยนตร์........เธอเกลียดความเร็ว
เขาชอบฝน......เธอกลัวเสียงฟ้าร้อง
เขาเป็นคนเงียบๆ ไม่เรื่องมาก..........เธอร่าเริงและจำเป็นต้องมีคนอยู่รอบด้าน
เขาเก็บความรู้สึกและระบายลงสมุดบันทึก........เธออ่อนไหว ขี้เหงา และช่างรู้สึก
เขาน้ำตาซึมเพราะมองไม่เห็นค่าของตัวเอง........เธอร้องไห้ให้ความเดียวดายที่เกาะกุมหัวใจ
เขาชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ.....เธอชอบมิตรภาพที่ใครต่อใครมอบให้
แต่กระนั้น ……..
ผู้คนมากมายที่รายล้อมก็ไม่ได้ทำให้เธอหายว้าเหว่
ทุกครั้งที่เขาเหงา……..
เธอจะนั่งอยู่ข้างๆโดยไม่เรียกร้องความสนใจ
ทุกครั้งที่เธอร้องไห้ ……….
เขาไม่มีคำปลอบโยน เพียงแค่กุมมือเธอไว้
ทุกครั้งที่เขามองเห็นเงาตัวเองในกระจก …..
เขาจะเห็นเพียงผู้ชาย...ที่ไร้ความสามารถ
และไม่มีความสำคัญกับใคร
แต่เธอกลับมองเห็นผู้ชายคนนึง.....ที่สามารถปกป้องเธอได้
และมีค่ามากมายสำหรับเธอ
ทุกครั้งที่ฝนตก …….เธอจะนั่งหลบอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง
ฝนพัดพาความเหงามาให้ เสียงฟ้าร้องเรียกความกลัวมาใกล้
แต่ทุกครั้งที่ฝนตก เขาจะโทรศัพท์หาเธอ
และจะอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งฝนหยุดตก ......แม้จะไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ
เขาและเธอ.....อยู่ด้วยกันในความเงียบ.....แต่ไม่เคยรู้สึกอึดอัด
เขาและเธอ.....อยู่ด้วยกันในความเงียบ.....แต่เหมือนกับได้พูดคุยกันตลอดเวลา
เขาและเธอ.....เหงาด้วยกัน.....แต่กลับรู้สึกอุ่นในใจ
เขาและเธอ.....เหงาด้วยกัน.....แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้น

วันเสาร์ที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

Cathédrale Notre-Dame de Paris


Notre-Dame de Paris, pour les Parisiens Notre-Dame (48° 51’ 11’’ N, 2° 21’ 0’’ E), est la cathédrale de l'archidiocèse catholique de Paris.
Notre-Dame de Paris n'est pas la plus grande des cathédrales françaises, mais elle est indiscutablement une des plus remarquables qu'ait produites l'architecture gothique en France et fut lors de son achèvement la plus grande cathédrale de la chrétienté. Ce chef-d’œuvre, l’un des symboles les plus connus de la capitale française, est situé à l’extrémité de l’île de la Cité, centre historique de la ville, tout près des berges de la Seine. Sa façade occidentale domine le parvis Notre-Dame - place Jean-Paul II. Une plaque de bronze incrustée dans le sol sert de point zéro de toutes les distances des routes à partir de Paris.
La construction s’étant étendue sur de nombreuses décennies, le style n’est pas d’une uniformité totale ; elle possède ainsi des caractères du gothique primitif (voûtes sexpartites de la nef) et du gothique rayonnant : on remarque particulièrement l’audace des arcs-boutants du chœur. Sa façade occidentale est un chef-d’œuvre d'équilibre architectural.
Après la tourmente révolutionnaire, la cathédrale a subi une restauration importante et parfois controversée par le grand architecte Viollet-le-Duc, qui y a incorporé des éléments et des motifs que le monument légué par le Moyen Âge n'avait jamais possédés.
La première cathédrale de Paris date de la deuxième moitié du IVe siècle. Elle se trouvait à l'ouest de l'édifice actuel ; sa façade mesurait 36 mètres et sa longueur était de 70 mètres. Des rangées de colonnes de marbre séparaient cinq nefs. L'édifice était orné de mosaïques. La présence d'un baptistère est attestée avant 451.
La construction, commencée sous le règne de Louis VII par l'évêque Maurice de Sully, a duré de 1163 à 1345. À cette époque, Paris n'était qu'un évêché, suffragant de l'archevêque de Sens.
C'est ici que Napoléon Ier se sacra empereur des Français, en présence du pape Pie VII, le 2 décembre 1804.
Elle fut restaurée (et quelque peu remaniée, par exemple la rose sud est pivotée de quinze degrés afin de la faire reposer sur un axe vertical) au XIXe siècle par Viollet-le-Duc,
Juste au niveau surplombant les trois portails, on observe la galerie des Rois de Juda (et non pas des rois de France). Ces reconstitutions sont l'œuvre de Viollet-le-Duc (il s’y est d’ailleurs lui-même représenté) et les fragments originaux peuvent être observés au musée du Moyen Âge à l’hôtel de Cluny à Paris.
Sa rosace du bras sud du transept, une des plus grandes d’Europe, mesure 12 mètres de diamètre.
Notre-Dame de Paris est, avec plus de 12 millions de visiteurs par an (2005), le monument de France et peut-être d’Europe le plus visité devant la tour Eiffel. La cathédrale est connue dans le monde entier depuis plus de cinq siècles. C’est aussi le lieu de la capitale visité en tout premier lieu et en masse par les Chinois de passage à Paris.

Vocabulaire
remarquables = น่าสังเกต,เด่น,สะดุดตา
cathédrale = โบสถ์ (ที่มีสังฆราชเป็นสมภาร)
chrétienté = คริสตจักร
symbole = สัญลักษณ์,หลักความเชื่อในศาสนา
évêché = สังฆมณฑล,ตำแหน่งของสังฆราช